ReadyPlanet.com
พื้นที่โฆษณา-ลิงก์ผู้สนับสนุน (ADVERTISEMENT)
*YesSpaThailand.com เราสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อคุณ... ศูนย์รวมองค์ความรู้เกี่ยวกับสปา อโรมาเทอราปี นวดแผนไทย โรงเรียนสปา โรงเรียนนวดแผนโบราณ สมุนไพร วิถีแห่งธรรมชาติบำบัด แพทย์ทางเลือก อายุรเวท ความงาม ผู้หญิง สุขภาพ โยคะ เครื่องดื่มสปาเพื่อสุขภาพ ศูนย์รวมผลิตภัณฑ์สปา แนะนำการลงทุนในธุรกิจสปา สปาแฟรนไชส์-เส้นทางลัดสู่การลงทุน ศูนย์รวมรายชื่อธุรกิจสปา Spa Dicectory ข่าวท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ข่าวประชาสัมพันธ์ ข่าวรับสมัครงาน โปรโมชั่น ส่วนลดพิเศษ...YesSpaThailand.com *เทคนิควิธีการนวดแผนโบราณ วิธีการนวดฝ่าเท้า วิธีการนวดขา วิธีการนวดใบหน้า คอ แขนและมือ วิธีการนวดในท่านั่ง วิธีการนวดคอ วิธีการไหล่และหลัง วิธีการนวดไทยขั้นพื้นฐาน วิธีนวดหน้า วิธีการนวดไหล่ วิธีการนวดคอ วิธีการนวดขาและนวดเท้า วิธีการนวดเอวและนวดหลัง วิธีการนวดแขนและนวดมือ วิธีการนวดกดจุดฝ่าเท้าเบื้องต้น ขั้นพื้นฐาน ขอขอบคุณทุกท่าน เข้าชมเว็บไซต์ครบ *แนะนำโรงเรียน-สอนนวดฟรี-เรียนนวดฟรี:-เรียนนวดแผนไทยฟรี-สอนนวดกดจุดฝ่าเท้าฟรี  สูตรวิธีการทำเครื่องดื่มน้ำผักผลไม้-สูตรล้างสารพิษ สูตรลดความเครียด สูตรรักษาโรค เสริมภูมิคุ้มกัน สูตรวิธีการทำสมุนไพรสด สำหรับพอกหน้า-พอกตัว ยาแผนโบราณตำรายาสมุนไพรวัดโพธิ์ วิธีการนวดตามธาตุเจ้าเรือน ดิน น้ำ ลม ไฟ Four Element Massage สมุนไพรแห่งความงาม9,546,019 Visitors *โยคะ (Yoga) คืออะไร ประวัติโยคะ วิธีการฝึกโยคะ สูตรการฝึกโยคะ ประโยชน์ของการฝึกโยคะ คำแนะนำในการฝึกโยคะ ข้อควรระวังในการฝึกโยคะ การเตรียมตัวฝึกโยคะ (Yoga) อุปกรณ์ของการฝึกโยคะ โยคะอาสนะ (Asana) คืออะไร?  โยคะร้อน (Bikram Yoga) คืออะไร? โยคะต้านแรงโน้มถ่วง (Antigravity Yoga) คืออะไร?  เทคนิควิธีฝึกการหายใจแบบโยคะ (ปรานายามา) ลมปราณแห่งชีวิต วิธีการฝึกหายใจแบบโยคะ: การหายใจทางจมูกสลับข้าง19,032,108 PageViews *สปาคืออะไร ประเภทของสปา รูปแบบและบริการของสปา องค์ประกอบของสปาเพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับสปา สปาไทย-สปาตะวันตก	 สปาหู สปามือ สปาเท้า สปาผม สปาปลาบำบัด อโรมาเทอราปี (สุคนธบำบัด) ประเภทของการนวดกับอโรมาเทอราปี  วิธีการผลิต การสกัด สรรพคุณ น้ำมันหอมระเหย เอสเซ็นเชียล ออยล์ สูตรผสมและคุณประโยชน์สถิติเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2567*วิธีการนวดแผนโบราณ ประโยชน์ของการนวดแผนโบราณ ขั้นตอนการนวดฝ่าเท้าและการกดจุดฝ่าเท้า ข้อควรระวัง ข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติหลังการนวดแผนโบราณ ข้อแตกต่างของการนวดแบบทั่วไปกับการนวดแบบราชสำนัก ความลับของการนวดฝ่าเท้า ประโยชน์ของลูกประคบสมุนไพร การอบสมุนไพร วิธีประโยชน์ของการอยู่ไฟ คุณแม่หลังคลอดบุตร
dot dot
dot
โฆษณาผู้สนับสนุน (Advertisement)
dot
จันทร์ธาราสปา Chantrara Spa ผู้นำด้านความงามทรวงอก และสุขภาพผิวพรรณ Tel: 0-2314-5759
bulletจันทร์ธาราสปา Chantrara Spa ผู้นำด้านความงามทรวงอก และสุขภาพผิวพรรณ Tel. 023145759
dot
ค้นหาบทความที่คุณต้องการ

dot
dot
สปา-ศาสตร์แห่งความงามเพื่อสุขภาพ
dot
bulletความหมายของ-สปา-SPA
bulletประเภทของสปา-SPA
bulletองค์ประกอบของสปาเพื่อสุขภาพ
bulletรูปแบและบริการของสปา
bulletสปาไทย-สปาตะวันตก
bulletผลิตภัฑ์สมุนไพรสำหรับสปา
bulletสปาหู Ear Candeling
bulletสปามือ-สปาเท้า
bulletสปาผม
bulletสปาปลาบำบัด Spa Fish
bulletออกซิเจน โซลาร์ สปา
dot
พลังแห่งกลิ่นหอม-อโรมาเทอราปี
dot
bulletอโรมาเทอราปี - คืออะไร
bulletร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ จากกลิ่นบำบัด ในอโรมาเทอราปี
bulletประเภทของการนวดยอดนิยม
bulletอโรมาเทอราปี-กับการนวดเด็ก
bulletสูตรน้ำมันหอมระเหยในการรักษาโรคและการบำบัดเพื่อสุขภาพ
dot
อโรมาเทอราปี - เพื่อความงาม
dot
bulletการดูแลสภาพเส้นผมและผิวพรรณ
bulletสูตรถนอมและบำรุงเส้นผม
bulletสูตรเพื่อการถนอมผิวพรรณ
bulletสูตรเพื่อการถนอมผิวหน้า
bulletสูตรผสมเพื่อการอาบน้ำ
dot
dot
dot
น้ำมันหอมระเหย - อโรมาเทอราปี
dot
bulletน้ำมันหอมระเหย-คืออะไร
bulletวิธีการใช้และสรรพคุณ
bulletข้อควรระวังในการใช้
bulletประโยชน์ของน้ำมันหอมระเหย
bulletวิธีการผลิต-น้ำมันหอมระเหย
bulletน้ำมันหอมระเหยของไทย
bulletเอสเซ็นเชียล ออยล์ สูตรผสมและคุณประโยชน์
bulletน้ำมันกระสายยา-คืออะไร
bulletสูตรผสมน้ำมันหอมระเหยเพื่อความงามและสุขภาพ
bulletราศีกับการเลือกใช้น้ำมันหอมระเหย
bullet114 ชนิดของน้ำมันหอมระเหย สรรพคุณ คุณสมบัติและวิธีนำไปใช้
bulletเหตุใดน้ำมันหอมระเหยจึงมีราคาแตกต่างกัน
bulletน้ำมันหอมระเหยรักษาโรคได้จริงหรือ
bulletวิธีเลือกซื้อน้ำมันหอมระเหยให้ได้ของแท้ 100%
bulletข้อแตกต่างระหว่างน้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากธรรมชาติ และน้ำมันหอมระเหยสังเคราะห์ (ของเทียม)
bulletข้อแตกต่างระหว่าง น้ำมันหอมระเหยออแกนิกส์ กับน้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ 100%
dot
dot
dot
สปาไทย-มนต์เสน่ห์ของไทยพื้นบ้าน
dot
bulletสปาไทย วิถีวัฒนธรรมแบบไทย
bulletย้อนรอยศาสตร์การนวดแผนไทย
bulletเสน่ห์ไทยกับการนวดแผนโบราณ
bulletวิธีการนวดแผนโบราณ
bulletรูปแบบการนวดแผนโบราณ
bulletข้อแตกต่างการนวดแบบทั่วไปกับการนวดแบบราชสำนัก
bulletประโยชน์ของการนวดแผนโบราณ
bulletข้อห้ามการนวดแผนโบราณ
bulletไทยสัปปายะ นวดไทยกับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม
bulletรูปแบบการนวดยอดนิยมในเอเชีย
bulletความลับของการนวดฝ่าเท้า
bulletประโยชน์ของการนวดฝ่าเท้า
bulletขั้นตอนการนวดฝ่าเท้า
bulletกฎ-ระเบียบกระทรวงสาธารณสุข เกี่ยวกับการนวดแผนไทย
dot
dot
dot
วิธีการนวดแผนโบราณ ขั้นพื้นฐาน
dot
bulletวิธีนวดแผนโบราณ นวดหน้า
bulletวิธีนวดแผนโบราณ นวดคอ
bulletวิธีนวดแผนโบราณ นวดไหล่
bulletวิธีนวดแผนโบราณ นวดแขน-มือ
bulletวิธีนวดแผนโบราณ นวดเอว-หลัง
bulletวิธีนวดแผนโบราณ นวดขา-เท้า
bulletวิธีการนวดฝ่าเท้า เบื้องต้น 1
bulletวิธีการนวดฝ่าเท้า เบื้องต้น 2
bulletวิธีการนวดฝ่าเท้า เพื่อสุขภาพ 1
bulletวิธีการนวดฝ่าเท้า เพื่อสุขภาพ 2
bulletวิธีการนวดฝ่าเท้า รักษาโรค 1
bulletวิธีการนวดฝ่าเท้า รักษาโรค 2
dot
เทคนิควิธีการนวดแผนโบราณ
dot
bulletเทคนิควิธีการนวดเท้า
bulletเทคนิควิธีการนวดขา ตอน 1
bulletเทคนิควิธีการนวดขา ตอน 2
bulletเทคนิควิธีการนวดหน้า คอ แขน มือ
bulletเทคนิควิธีการนวดในท่านั่ง คอ ไหล่และหลัง
dot
dot
dot
องค์ความรู้ - วัดโพธิ์ (วัดพระเชตุพนฯ)
dot
bulletชีวประวัติ "ปู่ฤาษีชีวก โกมารภัจจ์" แพทย์ประจำพระองค์ของพระพุทธเจ้า บรมครูของวงการแพทย์แผนไทย
bulletประวัติความเป็นมาของวัดโพธ์
bullet"เส้นประธานสิบ" หลักสำคัญของวิชาการนวดไทย
bulletตำรายาสมุนไพร-สำหรับสตรีมีครรภ์และหลังคลอดบุตร
bulletตำรายาสมุนไพร-สำหรับตู้ยาประจำบ้าน
bulletตำรายาสมุนไพร-สำหรับรักษาโรค
dot
dot
bulletประวัติความเป็นมาของ ฤาษีดัดตน
bulletวีดีทัศน์ ฤาษีดัดตน ท่าที่ 1-5
bulletวีดีทัศน์ ฤาษีดัดตน ท่าที่ 6-10
bulletวีดีทัศน์ ฤาษีดัดตน ท่าที่ 11-15
dot
dot
dot
ธาตุเจ้าเรือน ธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ
dot
bulletมารู้จักธาตุเจ้าเรือน ในตัวเรา
bulletการนวดฟื้นฟูธาตุเจ้าเรือน
bulletวิธีการนวดฟื้นฟูตามธาตุเจ้าเรือน
bulletธาตุเจ้าเรือนกับการใช้น้ำมันหอมระเหย
bulletวิธีเลือกคู่รักตามธาตุเจ้าเรือน
bulletอายุรเวท (Ayurrveda) คืออะไร
bulletตรีโทษ (วาตะ ปิตตะ กผะ) คืออะไร
bulletชาววาตะ (Vata) ผู้มีธาตุลมและธาตุอากาศ เป็นธาตุประจำตัว
bulletชาวปิตตะ (Pitta) ผู้มีธาตุไฟ เป็นธาตุประจำตัว
bulletชาวกผะ (Kapha) ผู้มีธาตุดินและธาตุน้ำ เป็นธาตุประจำตัว
dot
dot
dot
ลูกประคบ-สมุนไพรไทย
dot
bulletความลับของลูกประคบสมุนไพร
bulletอุปกรณ์ วิธีการทำ สมุนไพรที่สำคัญ การเก็บรักษา ลูกประคบ
bulletสมุนไพรที่ใช้เป็นส่วนผสมสำคัญของลูกประคบสมุนไพร
bulletสูตรลับ-ลูกประคบ จากชาววัง
bulletสูตรลูกประคบรักษาเฉพาะโรค 1
bulletสูตรลูกประคบรักษาเฉพาะโรค 2
bulletสูตรลูกประคบสมุนไพรไทยแบบสดและแบบแห้ง
dot
อบไอน้ำ-สมุนไพรไทย
dot
bulletการอบไอน้ำสมุนไพร เพื่อความงาม
bulletสมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของการ อบไอน้ำสมุนไพร
bulletวิธีการอบ ข้อห้าม การอบสมุนไพร
bulletสูตรลับ-ยาอบสมุนไพรจากชาววัง
dot
dot
dot
อยู่ไฟ-คุณแม่หลังคลอดบุตร
dot
bulletความหมายของการ-อยู่ไฟ
bullet29 ขั้นตอนของการ-อยู่ไฟ
dot
dot
dot
สมุนไพรแห่งความงามและสุขภาพ
dot
bulletตำลึง-ครีมสมุนไพรบำรุงผิวพรรณ
bulletบัวบก-ครีมสมุนไพรบำรุงความงาม
bulletเทียนบ้าน-ครีมสมุนไพรฟื้นฟูผิว
bulletฝรั่ง-ครีมสมุนไพรแห่งความงาม
bulletสูตรลับ-น้ำมันสมุนไพร-ยาสมุนไพร
bulletสูตรลับ-แป้งฝุ่นสมุนไพร
bulletสูตรลับ-แป้งสมุนไพรระงับกลิ่นกาย
bulletสูตรลับ-ยาสมุนไพร-แห่งความงาม
bulletสูตรสมุนไพรสดพอกหน้า-พอกตัว
bulletสูตรสวยลึกล้ำจากธรรมชาติ
dot
dot
dot
มหัศจรรย์สมุนไพรกลิ่นหอมธรรมชาติ
dot
bulletพลังกลิ่นหอม สร้างพลังชีวิต
bulletพืชหอมของไทย ที่นำมาใช้ในสปา
bulletกำยาน ความหอมอมตะ
dot
dot
dot
โยคะ (Yoga) ลมปราณแห่งชีวิต
dot
bulletโยคะ (Yoga) คืออะไร? ประวัติโยคะ
bulletความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับโยคะ
bulletประโยชน์ของการฝึกโยคะ (Yoga)
bulletคำแนะนำในการฝึกโยคะ และ 10 ข้อควรระวังในการฝึกโยคะ
bulletศิลปะ ปรัชญาและ 4 เทคนิคการฝึกโยคะ (Yoga) อย่างง่ายๆ
bulletอุปกรณ์และการเตรียมตัวฝึกโยคะ เมื่อไรควรฝึกโยคะ? (Yoga)
bulletโยคะอาสนะ (Asana) คืออะไร? ประเภท เป้าหมาย และการแบ่งระดับชั้นของโยคะอาสนะ
bulletวิธีการฝึกโยคะ: ท่าสุริยะนมัสการ
bulletโยคะร้อน (Bikram Yoga) คือ...
bulletประโยชน์ของการฝึกโยคะร้อน
bulletข้อควรระวังในการฝึกโยคะร้อน
bulletโยคะต้านแรงโน้มถ่วง คืออะไร?
bulletวิธีการฝึกหายใจแบบโยคะ: การหายใจทางจมูกสลับข้าง
bulletวิธีการฝึกหายใจแบบโยคะ: การหายใจแบบผึ้ง
bulletแนะนำโรงเรียนสอนโยคะ (Yoga)
dot
dot
dot
ผลิตภัณฑ์สปา-มรดกอัศจรรย์ของไทย
dot
bulletสูตรและวิธีการทำ-ผลิตภัณฑ์สปา
dot
dot
dot
สูตรเครื่องดื่มสปา เพื่อสุขภาพ
dot
dot
dot
dot
แนะนำสปาใกล้บ้านคุณ
dot
bulletHotel & Resort SPA
bulletDay SPA
bulletMedical SPA
bulletDestination SPA
bulletHealth Massage SPA
bulletSPA Schools
dot
dot
dot
แนะนำการลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์
dot
bulletแนะนำ แฟรนไชส์ สปา ความงาม สุขภาพ โยคะ เส้นทางลัดสู่การลงทุน
bulletแฟรนไชส์ (Franchise) คืออะไร
bulletความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์
bulletมาตรฐาน คุณภาพของแฟรนไชส์
bulletมุมมองการตลาดธุรกิจแฟรนไชส์
bulletบทความ-ความรู้พื้นฐานแฟรนไชส์
bulletบทความ-คัมภัร์บริหารเชิงกลยุทธ์
dot
dot
dot
VDO องค์ความรู้ภูมิปัญญาไทย
dot
bulletวีดีโอ ความรู้เกี่ยวกับสปา นวดไทย
dot
dot
dot
สาระน่ารู้ เพื่อคุณภาพของชีวิต
dot
bulletบทความ - สปา สุขภาพ ความงาม
bulletแนะนำหนังสือ
bulletข่าวประกาศรับสมัครงานสปา
bulletข่าวโปรโมชั่น-ส่วนลดพิเศษ
bulletNEWS & EVENTS
bulletฝากข่าวประชาสัมพันธ์
bulletฝากข่าวรับสมัครงาน


พื้นที่โฆษณา-ลิงก์ผู้สนับสนุน
โรงละครไทย อลังการ พัทยา
Nantra de Boutique Hotel Pattaya: Pattaya
Lanna Come Spa
Chantrara Spa
Parutee
Chivasom Academy
Tai-Pan Hotel
Spa @ Bangkok
Panviman Spa Academy


แก้ปัญหาหน้าท้องคล้อย รอยแตกลาย ภายหลังคลอดบุตร
วันที่ 18/05/2010  03:20:25 AM ,ผู้เข้าชม : 10709
เคล็ดลับการแก้ปัญหาหน้าท้องคล้อย รอยแตกลาย อ้วน น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นภายหลังการคลอดบุตร

แก้ปัญหาหน้าท้องคล้อย รอยแตกลาย ภายหลังคลอดบุตรแก้ปัญหาหน้าท้องคล้อย รอยแตกลาย ภายหลังคลอดบุตรแก้ปัญหาหน้าท้องคล้อย รอยแตกลาย ภายหลังคลอดบุตร 

แก้ปัญหาหน้าท้องคล้อย รอยแตกลาย
ภายหลังคลอดบุตร

คุณแม่คนใหม่มักจะเจอปัญหาหลังคลอด มีรอยแตกลาย ทั้งหน้าท้อง และบางทีต้นขาต้นแขนที่ผิวหนังขยายอย่างรวดเร็วในระหว่างตั้งครรภ์ ทั้งหน้าท้องที่ขยายทำให้พุงห้อยคล้อย เป็นปัญหาหนักอกหนักใจ แม้จะคลอดลูกมาแล้วกว่า 6 เดือนก็ยังสลายไขมันส่วนนี้ไม่ออก ทำอย่างไรดี ?

.........................................................................................................
โฆษณา-ลิงก์ผู้สนับสนุน

.........................................................................................................

   - การใช้ครีมบางชนิด โดยเฉพาะครีมทาผิวที่มีส่วนผสมของกรดวิตามินเอ เรตินเอ คอลลาเจน วิตามินซี และกรด AHA หรือ แอลฟาไฮดรอกซีแอซิด (Alpha Hydroxy Acid) หรือสารสกัดจากผลไม้เข้มข้นจะมีส่วนช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยให้รอยแตกลายดูเลือนจางลงไปได้บ้าง แต่อาจหายไม่หมด รวมทั้งใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากชาเขียว คาเฟอีนช่วยกระชับเซลล์ผิวหนังได้บ้าง แต่คงไม่สามารถสลายไขมันได้ทั้งหมด ถ้าจะให้ดีรอจนหยุดให้นมลูก แล้วมาให้หมอจ่ายยากรดวิตามินเอเข้มข้นจะดีกว่าครีมบำรุงผิวทั่ว ๆ ไป เพราะออกฤทธิ์ไปสมานรอยแตกลายงาได้เห็นผลชัดเจนกว่า

   - วิธีการทำทรีทเม้นท์ที่ผิวหนังด้วยกรดวิตามินเอ และกรดผลไม้เข้มข้นไกลโคลิค (Glycolic Acid) 50-70% ซึ่งพบว่าหากทำต่อเนื่องสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ประมาณ 4-5 ครั้ง คุณจะรู้สึกได้ถึงรอยแตกลายที่เจือจางไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นรอยแตกใหม่ๆ ภายในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน มักจะเห็นผลได้เร็ว แต่ถ้าใช้กรดวิตามินเอไปพร้อม ๆ กับการให้นมบุตรนั้น คงจะต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังให้แน่ใจว่าจะไม่มีผลไปถึงลูกน้อยจากการให้นม

   - วิธีการนวด การนวดแบบเฟิร์มมิ่ง (Firming Massage) ช่วยกระตุ้นการสลายของไขมันได้ผลบ้าง ในการช่วยกระชับหน้าท้องที่ห้อยคล้อย แต่คงต้องนวดกันบ่อย ๆ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง และจะได้ผลดียิ่งขึ้นหากใช้น้ำมันหอมระเหย จำพวกที่ช่วยให้ไขมันสลาย เช่นมีส่วนผสมของสารคาเฟอีน หรือ แคปไซซิน จากเครื่องเทศต้มยำ หรือพริก เป็นต้น

   - การใช้เครื่องนวดไฟฟ้า ประเภทปล่อยกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ไปกระตุกกล้ามเนื้อให้มีการบีบตัว เพื่อที่จะได้ช่วยกระชับหน้าท้อง ก็ให้ผลดีเช่นกัน อาจใช้แทนการออกกำลังกายด้วยการซิทอัพ หรือท่าออกกำลังกายที่ต้องเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง แต่ง่ายกว่าตรงที่คุณสามารถนั่งดูทีวี ติดเครื่องมือเล็ก ๆ ไว้กับหน้าท้องแล้วทำงานบ้านไปพร้อม ๆ กันได้ด้วย แน่นอนว่าผลจะดีมากขึ้นถ้าหากคุณได้ออกกำลังกายควบคู่กันไปเพื่อช่วยเร่งการสลายไขมันส่วนเกิน หรือใช้เครื่องมือกระชับผิวประเภทห่มร้อนห่มเย็น เร่งการสลายไขมันออกไปจากร่างกาย รวมไปถึงเครื่องมือที่ช่วยนวดบีบไล่น้ำเหลือง ซึ่งมีผลให้ตัวยุบบวม และไขมันสลายได้เร็วขึ้น แต่ไม่ว่าจะเป็นผ้าห่มร้อนห่มเย็น เครื่องกระตุกกล้ามเนื้อ หรือเครื่องนวดรีดน้ำเหลือง มีผลช่วยกระชับหน้าท้องที่ ห้อยคล้อย แต่ไม่มีผลโดยตรงต่อรอยแตกลาย

   - คาร์บอกซี่ เทอเรอปี (Carboxy Therapy) น่าจะเป็นวิธีที่ตอบโจทย์ได้ดีที่สุดสำหรับปัญหาทั้งสองอย่าง ทั้งนี้ก็เพราะการฉีดก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปในชั้นไขมันใต้ผิวหนังนั้น นอกจากจะเป็นการไปเร่งให้เซลล์ไขมันสลายออกมาเป็นอุณหภูมิความร้อนเห็นผลกระชับสัดส่วน ลดหน้าท้อง พุง เอว ไปได้ 1-2 นิ้ว หลังจากทำการรักษาเพียงแค่ 2-4 ครั้ง อย่างต่อเนื่อง ถ้าจะให้เห็นผลดีควรจะทำสัปดาห์ละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย จึงจะเห็นผลชัดเจน ที่สำคัญก็คือ เมื่อก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปอยู่ในชั้นใต้ผิวหนังจะไปกระตุ้นให้เส้นเลือดฝอยขยายตัว มีการนำออกซิเจนมาเลี้ยงผิวหนังเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีการซ่อมแซมเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอีลาสตินที่ฉีกขาดไป จนเกิดเป็นรอยแตกลาย ดังนั้นเราจึงพบว่า ทุกรายที่รักษาปัญหาหน้าท้องคล้อยหลังคลอดด้วยการฉีดก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์นั้นจะมีผลให้รอยแตกลายจางลงอย่างเห็นได้ชัด แต่จะเห็นผลได้ดียิ่งขึ้น หากให้คุณหมอผู้ทำการรักษาฉีดก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ หรือทำคาร์บอกซี่ เทอเรอปีฉีดก๊าชเข้าไปในรอยแตกโดยตรง วิธีนี้เจ็บตัวเล็กน้อย แต่มั่นใจได้ว่าเห็นผลแน่นอน

   - การใช้คลื่นวิทยุ RF (Radio Frequency) อย่างเช่น เครื่องอินดิบ้า (Indiba) ช่วยสลายไขมันหน้าท้อง กระชับผิวหนังที่เหี่ยวย่น ให้เต่งตึงขึ้นได้ก็นับว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่เห็นผลได้ชัดเจน ไม่เจ็บตัว นอนหลับไปสบาย ๆ หนึ่งตื่น ก็สามารถเห็นผลได้ มีผลบ้างกับรอยแตกลาย แต่ไม่ชัดเจนเท่ากับการฉีดก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปโดยตรง

   - การใช้คลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ เข้าไปเขย่าให้ไขมันในชั้นใต้ผิวหนังแตกตัว แล้วถูกดูดซับจับออกไปขับถ่ายออกจากร่างกายทางระบบน้ำเหลือง ก็เป็นวิธีที่ช่วยลดปัญหาหน้าท้องห้อยคล้อยหลังคลอดที่ได้ผลดีอย่างชัดเจน แต่ไม่มีผลมากนักต่อรอยแตกลาย แม้ว่าจะสามารถช่วยกระชับผิวหนังที่ย่นยับให้เต่งตึงได้บ้าง

   - เลเซอร์ Fraxel เพื่อแก้ไขปัญหารอยแตกลายที่มีมานานหลายปีเห็นทีจะต้องทำเลเซอร์ขัดผิว Fraxel ซึ่งเหมือนกับการขัดผิวด้วยการทำศัลยกรรมตกแต่งเพียงแต่มีรอยช้ำรอยแดงน้อยกว่า ระยะพักฟื้นสั้นกว่า แทนที่จะต้องพันผ้าพันแผล ติดพลาสเตอร์กันเป็นสัปดาห์ ก็จะเห็นรอยบวมแดงเพียงแค่ 1-2 วันเท่านั้นเอง การทำ Fraxel เลเซอร์นั้นคล้าย ๆ การกรอผิว ให้ผลชัดเจนแต่เจ็บตัวน้อย และไม่ต้องมีระยะพักฟื้นนาน แผล ผิวหนังจะค่อย ๆ เรียบขึ้น วิธีนี้ได้ผลแน่นอนชัดเจน แต่จะต้องขัดเลเซอร์กัน 1 ครั้ง หรือ 2 ครั้ง หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับว่ารอยลึกของการแตกนั้นเป็นมากขนาดไหน เป็นมานานแล้วหรือยัง หากแตกลึกมาก แผลกว้าง และเป็นมานาน อาจจะต้องใช้การขัดผิวกันมากกว่าหนึ่งครั้ง

ลองปรึกษาแพทย์ประจำตัวคุณดูนะคะ เทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถช่วยสลายไขมันเฉพาะส่วน กระชับผิวหนังที่ห้อยคล้อยหย่อนยานได้โดยไม่ต้องผ่าตัด แถมช่วยให้รอยแตกลายงาจางได้อีกด้วย โดยไม่จำเป็นต้องไปเจ็บตัวทำศัลยกรรมตกแต่งอีกต่อไป

บทความโดย
Pakpilai Thavisin, M.D.
S Medical Spa

แก้ปัญหาหน้าท้องคล้อย รอยแตกลาย ภายหลังคลอดบุตร
แก้ปัญหาหน้าท้องคล้อย รอยแตกลาย ภายหลังคลอดบุตร
แก้ปัญหาหน้าท้องคล้อย รอยแตกลาย ภายหลังคลอดบุตร
แก้ปัญหาหน้าท้องคล้อย รอยแตกลาย ภายหลังคลอดบุตร



 

                     

ผิวขาวเนียนใส ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นด้วย วิตามินซี
วันที่ 04/07/2010  03:27:51 AM ,ผู้เข้าชม : 5724
ผิวขาวเนียนใส ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นด้วย วิตามินซี

ผิวขาวเนียนใส ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นด้วย วิตามินซี

ผิวขาวเนียนใส
ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นด้วย วิตามินซี

เชื่อว่าคุณผู้อ่านคงเคยได้ยินถึงสรรพคุณสุดยอดของวิตามินซี ว่ามีผลดีให้ผิวพรรณสดชื่น แจ่มใส ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น แต่อาจจะสงสัยว่าจริงหรือ และจะใช้อย่างไรจึงจะเห็นผลทันตาทันใจ วิตามินซีในรูปแบบ Active fromแบบที่ออกฤทธิ์กับร่างกายเราได้จริง ๆ นั้นเรียกว่า Ascorbic Acid หรือกรดวิตามินซี ซึ่งมีให้ใช้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ที่อยู่ในครีมบำรุง ไปจนถึงยากินและยาฉีด ลองมาดูเรื่องของครีมบำรุงผิวกันก่อนนะคะ

.........................................................................................................
โฆษณา-ลิงก์ผู้สนับสนุน

.........................................................................................................

ความจริงแล้วเครื่องสำอางค์หลากหลาย ที่วางขายตามท้องตลาดทั่วไปนั้น โฆษณาว่ามีส่วนผสมของวิตามินซีนั้น เอาเข้าจริง ๆ แล้วไม่ใช่วิตามินซีบริสุทธิ์ หรือกรดวิตามินซี ที่จะออกฤทธิ์กับผิวพรรณได้ทันที ทั้งนี้เพราะเจ้า Ascorbic Acid นั้นใจเสาะและสลายตัวได้ง่ายมากเพียงสัมผัสกับแสงหรือออกซิเจนก็หายตัวไปตายหมดเรียบร้อย

นักเวชสำอางค์ก็เลยต้องเอากรดวิตามินซี ไปจับกับเกลืออะไรบางอย่าง เช่นเกลือโซเดียม ได้เป็นโซเดียม แอสโคเบท เพื่อที่จะผสมลงไปในครีมบำรุง และทำให้เกลือวิตามินซีมีชีวิตยืนยาว 2-3 ปีตามอายุการใช้งานของเครื่องสำอางค์ แต่จะว่าไปแล้ว เจ้าเกลือวิตามินซีนั้น ไม่สามารถให้ผลต่อผิวพรรณได้เหมือนกับกรดวิตามินซีโดยตรง หลายคนจึงรู้สึกผิดหวังว่า วิตามินซีในเครื่องสำอางค์ไม่เห็นดีสมราคาคุยเลย

ในปัจจุบันมีวิตามินซีของเวชสำอางค์จากต่างประเทศ ที่แยกส่วนที่เป็นผงเกลือวิตามินซีกับส่วนที่เป็นโซลูชั่น หรือน้ำยาบำรุงผิว และมีเอนไซม์ (Enzyme) หรือตัวช่วยย่อยให้เกลือวิตามินซีแตกตัวเป็นกรดวิตามินซี การที่แยกเกลือวิตามินซีออกจากโซลูชั่นนั้น ทำให้สามารถเก็บได้นานเป็นปี และเมื่อพร้อมจะเริ่มต้นใช้ก็นำส่วนที่เป็นผง และส่วนที่เป็นน้ำ มาเขย่าผสมเข้าด้วยกันเอนไซม์ ก็จะไปย่อยให้เกลือวิตามินซีแตกตัวออกมาเป็นกรดวิตามินซีเข้มข้น หรือ Active from ที่มีผลต่อผิวพรรณโดยตรง ส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์พวกนี้จะอยู่ในคลีนิคแพทย์ ไม่อยู่ในเคาน์เตอร์เครื่องสำอางค์นะคะ ต้องได้รับคำแนะนำอย่างถูกวิธี ข้อดีก็คือ สามารถออกฤทธิ์มีผลโดยตรงต่อผิวพรรณ ใช้ไปเพียงแค่ 1-2 สัปดาห์ ก็รู้สึกได้แล้วว่าผิวหน้านุ่มเนียนขึ้น รูขุมขนกระชับ ริ้วรอยเหี่ยวย่นเล็ก ๆ เลือนลางจางหาย เพราะวิตามินซีจำเป็นต่อการซ่อมแซมเสริมสร้างคอลาเจนและอีลาสติน เพิ่มความเข็งแรงในชั้นหนังแท้ ในขณะเดียวกันวิตามินซี ก็จะออกฤทธิ์โดยตรงต่อเซลล์สร้างสีผิว ช่วยให้ผิวดูเนียนขาวขึ้น รวมทั้งกระ ฝ้า จุดด่างดำ ก็ค่อย ๆ จางหายไป เห็นผลได้ชัดเจนกว่าเกลือวิตามินซี แต่ข้อเสียก็คือเมื่อแตกตัวออกมาเป็นกรดวิตามินซีเข้มข้นแล้วจำเป็นต้องเก็บให้พ้นแสงและความร้อน นั่นคือเก็บในตู้เย็น และมีอายุการใช้งานเพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้น หากใช้ไม่หมด วิตามินซีก็หายไปหมดแล้วค่ะ หากใช้ต่อก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด

ส่วนวิตามินซีในรูปของอาหารเสริม รับประทานขนาดเม็ดละ 500-1000 มิลลิกรัม รับประทานวันหนึ่งได้ตั้งแต่ 1-3 กรัม ต่อเนื่องกันได้ยาวนาน คงเน้นในเรื่องของการเสริมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง เพราะวิตามินซีจำเป็นเหลือเกิน ในการสร้างภูมิต้านทาน มีงานวิจัยที่สนับสนุนว่า หากใครที่ได้รับวิตามินซีมากเพียงพอจะเป็นหวัดน้อยลง มีการติดเชื้อต่าง ๆ น้อยลง รวมทั้งมีสถิติการเข้าออกโรงพยาบาลน้อยลงด้วย แต่วิตามินซีในรูปของอาหารเสริมรับประทานนั้น มักไม่ค่อยเห็นผลโดยตรงต่อผิวพรรณมากนัก ยกเว้นในกรณีที่เกิดบาดแผล อาจจะช่วยให้แผลต่าง ๆ หายเร็วขึ้น แต่ไม่ช่วยให้กระจาง ฝ้าหาย หน้าขาวนวลเนียนขึ้น

ส่วนวิตามินซีที่ทำให้เห็นผลเร็วต่อสุขภาพอย่างชัดเจน เห็นทีจะต้องมาในรูปของยาฉีด แต่ความที่วิตามินซีเป็นกรดเข้มข้น ฉีดโดยตรงเข้าเส้นเลือดคงไม่ได้ จึงต้องนำวิตามินซี 5-10 กรัม ไปผสมรวมอยู่ในน้ำเกลือแล้วค่อย ๆ ให้น้ำเกลือกันไป 20-30 นาที วิธีนี้แพทย์มักนิยมใช้ในคนไข้ที่ต้องการเพิ่มภูมิต้านทาน เช่นเพิ่งจะเริ่มต้นติดเชื้อเป็นหวัด หรือใช้ป้องกันการเป็นหวัดได้ดีกว่าวัคซีนหวัดอีกนะคะ เพราะจะว่าไปแล้ววัคซีนไข้หวัดป้องกันไวรัสหวัดได้แค่ 10 กว่าสายพันธุ์ ในขณะที่เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดไข้หวัดใหญ่ได้นั้น มีเป็นพันสายพันธุ์ ทางที่ดีการเสริมวิตามินซีให้ตัวคุณเอง จะเพิ่มภูมิต้านทานทำให้ร่างกายแข็งแรงป้องกันได้หมด ไม่ว่าไวรัสจะหน้าตาแบบไหน หรือแบคทีเรียชนิดไหนก็ตาม นอกจากนี้ยังใช้มาก ในคนไข้มะเร็งที่ได้รับการฉายแสงหรือเคมีบำบัด ช่วยฟื้นฟูสภาพเซลล์และภูมิต้านทานของคนไข้ให้แข็งแรงยิ่งขึ้น แม้คนไข้ในไอซียู การให้วิตามินซีเข้มข้นถึง 10 กรัมต่อครั้ง จะช่วยให้คนไข้ฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้การให้วิตามินซีเข้มข้นทางน้ำเกลือ บวกกับวิตามินบีรวม และสารแอนตี้ออกซิเเดนท์บางอย่าง เช่น กลูทาไธโอน (Glutathione) จะมีผลช่วยในการดีท็อกซ์ตับ ในต่างประเทศใช้กันมากในคนไข้ที่มีปัญหาโลหะหนักในร่างกาย ตับอักเสบแบบหาสาเหตุไม่เจอ หรือคนไข้ที่ดื่มเหล้าจัดจนตับทรุด ตับเสื่อม เขาก็จะให้วิตามินซีเข้มข้นเข้าไปเสริมสุขภาพ ให้ไปให้มาสุดท้ายสังเกตุได้ว่า คนไข้ผิวพรรณผ่องเป็นยองใยเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้ก็เพราะวิตามินซี และกลูทาไธโอน นั้นเป็นสารแอนตี้ออกซิเดนท์ที่สำคัญ ช่วยดีท็อกซ์ผิวไปด้วยในตัว ผิวจึงดูนวลใสขึ้น ไม่ได้ทำให้ขาวซีดเป็นผิวฝรั่งหรอกนะคะ คนไหนผิวสีแทนอยู่แล้วก็ยังสีแทนเพียงแต่มีน้ำมีนวลดูสดใส ตามประสบการณ์ของหมอ คนไข้ที่มาดีท็อกซ์ตับ หรือเพิ่มภูมิต้านทานด้วยการให้วิตามินซีเข้มข้นทางน้ำเกลือสัปดาห์ละครั้ง ต่อเนื่องกัน 2-3 ครั้ง คนไข้ทุกคนจะรู้สึกแฮปปี้พึงพอใจ เพราะ ใคร ๆ ก็ทักว่าหน้าใสผิวผ่องเป็นยองใยกันไปทั้งตัว

จะว่าไปแล้ววิตามินซีมีประโยชน์มากมาย แต่หากใครที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่นมีนิ่วในทางเดินปัสสาวะ หรือไม่แน่ใจว่าควรจะได้รับหรือไม่นั้น เห็นทีจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนล่ะค่ะ แน่นอนว่าถ้าเป็นในรูปแบบของเครื่องสำอางค์ คุณอยากใช้มากแค่ไหนก็ใช้ไปเถอะ แต่ถ้าเป็นเรื่องของอาหารเสริม รับประทานวันละหลายกรัมไปจนถึงการให้วิตามินซีทางเส้นเลือด หรือทางน้ำเกลือนั้นคงต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Anti-Aging โดยตรงนะคะ

บทความโดย
Pakpilai Thavisin, M.D.
S Medical Spa

ผิวขาวเนียนใส ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นด้วย วิตามินซี
ผิวขาวเนียนใส ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นด้วย วิตามินซี
ผิวขาวเนียนใส ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นด้วย วิตามินซี


 

                     

เกลี่ยหลุมแผลเป็น ริ้วรอยเหี่ยวย่น หน้าท้องต้นขาแตกลาย ด้วยเลเซอร์
วันที่ 03/07/2010  21:30:31 PM ,ผู้เข้าชม : 4220

เกลี่ยหลุมแผลเป็น ริ้วรอยเหี่ยวย่น หน้าท้องต้นขาแตกลาย ด้วยเลเซอร์  เกลี่ยหลุมแผลเป็น ริ้วรอยเหี่ยวย่น หน้าท้องต้นขาแตกลาย ด้วยเลเซอร์ เกลี่ยหลุมแผลเป็น ริ้วรอยเหี่ยวย่น หน้าท้องต้นขาแตกลาย ด้วยเลเซอร์

เกลี่ยหลุมแผลเป็น ริ้วรอยเหี่ยวย่น
หน้าท้องต้นขาแตกลาย
ด้วยเลเซอร์เฟรกเซล (Fraxel)
 

บทความที่แล้วมาได้คุยเอาไว้ถึงกรรมวิธีต่าง ๆ ในการกำจัดขนอย่างถาวร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของลำแสงเลเซอร์ซึ่งกำลังได้รับความนิยมกันอย่างมาก เพราะใช้ได้ผลค่อนข้างจะดีมีข้อแทรกซ้อนน้อย ไม่เสียเวลา ไม่เจ็บตัว แถมราคาก็ไม่แพงคุ้มค่า คุ้มราคา และยังอยากจะเล่าให้ฟังถึงเลเซอร์อีกชนิดหนึ่งซึ่งใช้ในการแก้ปัญหาริ้วรอยเหี่ยวย่น หลุมแผลเป็นที่เราเรียกกันว่า เลเซอร์เฟรกเซล (Fraxel)

.........................................................................................................
โฆษณา-ลิงก์ผู้สนับสนุน

.........................................................................................................

เรื่องของปัญหาหลุมแผลเป็นมักจะเป็นปัญหากวนจิตกวนใจของทั้งคุณผู้หญิงและคุณผู้ชาย เพราะส่วนใหญ่จะเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ สมัยเด็ก ๆ ที่เป็นสิวอักเสบก็มักจะไปบีบแคะแกะเกา ซ้ำร้ายคุณหมอสมัยก่อนเมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว มีความรู้ว่าตรงไหนที่เป็นฝีจะต้องเอาเข็มเจาะบ่มฝี เพื่อให้หนองมันไหลออกมาให้หมด แผลอักเสบจะได้หายเร็ว ซึ่งก็ไม่ผิดหรอกค่ะ ตรงไหนมีฝีเราขจัดหนองได้ใช้ยาปฏิชีวนะช่วยแป๊บเดียวฝีทั้งหลายมันก็จะยุบ แต่สิ่งที่ตามมาไม่คาดฝันก็คือหลุมแผลเป็นซึ่งบางคนเป็นหลุม หน้าเลยไม่เรียบไปตลอดชีวิต หรือแผลเป็นอีสุกอีใสในวัยเด็กที่เฝ้าแต่แคะ ๆ แกะสะเก็ดจนเป็นหลุมเป็นบ่อ และเมื่อเป็นหลุมแผลเป็นไปแล้วนับเป็นปัญหาแผลเป็นที่แก้ได้ยาก เพราะไม่มีครีมทาหน้าหรือตัวยายี่ห้อไหนที่จะสามารถไปเรียกเนื้อหรือกระตุ้นให้หลุมแผลเป็นพวกนี้มันตื้นขึ้นมาได้ด้วยวิธีง่าย ๆ แม้ว่าจะไปขัดหน้าด้วยเกล็ดอัญมณีก็ไม่สามารถจะช่วยได้ เพราะส่วนใหญ่การพ่นผงผลึกคริสตัลเป่าลงไปบนใบหน้านั้นเป็นการขัดเพียงแค่ชั้นขี้ไคล ทำให้หน้าดูขาวขึ้นมาชั่วคราว แต่ไม่มีผลโดยตรงต่อเรื่องของหลุมแผลเป็น

สมัยก่อนการแก้ปัญหาหลุมแผลเป็นรวมไปถึงร่องริ้วรอยที่ยับยู่ยี่จนรีดไม่เรียบแล้วนี้ อาจจะใช้ศัลยกรรมตกแต่งช่วยขัดผิวซึ่งกรรมวิธีไม่ง่ายแลยค่ะ ต้องมีการเตรียมผิว หากคนไข้มีปัญหาว่า มีการติดเชื้อเป็นเริม เป็นเบาหวาน หรือเป็นคนไข้ SLE ภูมิต้านทานตัวเองผิดปกติ ก็ไม่สามารถจะทำได้ เพราะหลังจากขัดผิวจนเลือดออกซิบ ๆ แล้ว มีโอกาสติดเชื้อโรค เชื้อร้าย หรือขบวนการต่อต้านภูมิต้านทานตัวเองนั้นอาจจะกำเริบทำให้เป็นมากขึ้น เมื่อคัดเลือกคนไข้ได้ดีแล้วก็ต้องมีการเตรียมผิวบางครั้งต้องรับประทานยาบางอย่างล่วงหน้าเพื่อป้องกันการอักเสบและการติดเชื้อ และในขบวนการทำก็เสมือนหนึ่งการผ่าตัดต้องมีการให้ยาสลบ หรือถ้าใครเป็นน้อย ๆ ก็อาจจะแค่ฉีดยาชาเฉพาะที่ แต่ฉีดยาชาที่ผิวหน้านะคะ เข็มจิ้มเนื้อและมันไม่ได้จิ้มแค่เล็ก ๆ หากคุณมีหลุมกระจายทั่วหน้าก็ต้องบล็อคเส้นประสาทกันไปเลยค่ะ ถึงจะชากันทั่วถึง แล้วก็ใช้ขบวนการขัด ซึ่งการขัดหน้าสมัยก่อนนั้นมีตั้งแต่การใช้คล้าย ๆ กระดาษทรายเบอร์ละเอียด ๆ เอามา ค่อย ๆ เกลาขัดถูหน้าจนเลือดออกซิบ ๆ เป็นการทำให้ผิวเรียบเหมือนเราค่อย ๆ ขัดเครื่องเงินให้ขึ้นเงา แล้วผิวพรรณจะซ่อมแซมตัวเองขึ้นมา บางครั้งก็ใช้หัวเพชรเหมือนการเจียรนัยเพชรกันเลยทีเดียวค่ะ ค่อย ๆ ขัดผิวไปทีละชั้น ๆ จนถึงระดับชั้นหนังแท้ที่มีเลือดออกซิบ ๆ หรือบางครั้งก็ใช้การกรอผิวด้วยสารเคมีที่เราเรียกติดปากว่าการทำเบบี้เฟส ซึ่งก็เป็นการใช้น้ำยาเคมีบางอย่างมาสกัดผิวหนังกำพร้าออกไป ขบวนการเหล่านี้เมื่อทำเสร็จแล้วต้องมีระยะพักฟื้น บางครั้งต้องมีผ้าพันแผลติดอยู่บนหน้าเสมือนเป็นมันมี่กันไปอีก 1-2 สัปดาห์ ต้องมีการเปลี่ยนผ้าทำความสะอาดป้องกันการติดเชื้อ กว่าเนื้อใหม่จะขึ้นมาเติมเต็มอาจจะใช้เวลาตั้งแต่ 2-4 สัปดาห์ แม้ว่าทำเสร็จใหม่ ๆ ผิวจะดูขาวนวลเรียบเนียน แถมอมชมพูใสเหมือนผิวทารกอีกต่างหาก แต่ต้องขอชี้แจงว่าเป็นผิวที่บอบบางต่อสิ่งแวดล้อมเหลือเกิน ระยะที่ผิวหายใหม่ ๆ นี้หากคุณไปตากแดดล่ะก็การันตีความดำกลับมา ทำให้ต้องมาแก้รอยดำกันอีกอย่างน้อย ๆ 6-12 เดือน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

คนไข้ส่วนใหญ่ที่ไปทำการขัดผิวด้วยกรรมวิธีด้านศัลยกรรม หรือการทำเบเบี้เฟสก็ตาม จำเป็นต้องหลบแดดอยู่กับบ้านอย่างน้อย ๆ 2-3 เดือน และจะต้องใช้ยากันแดดต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้ผิวใหม่ที่เพิ่งขึ้นมานั้นสัมผัสกับแสงแดดอันเป็นศัตตรูตัวร้ายที่จะทำให้เกิดปัญหาผิวหน้าดำเหมือนเป็นแผลเป็นตามมาได้ แต่ก็ช่วยไม่ได้ค่ะเพราะสำหรับคนที่เป็นแผลเป็น เป็นหลุมเป็นบ่อหรือคนที่ริ้วรอยเหี่ยวย่นทั่วหน้านั้นมีทางเลือกไม่มากเลย เพราะการใช้ยา การทำเลเซอร์ธรรมดาจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้

แต่ในปัจจุบันนี้แพทย์ก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ ได้พัฒนาเลเซอร์ขัดผิวตัวใหม่ชื่อว่า Fraxel ซึ่งเทคโนโลยีนี้ก็มาถึงเมืองไทยเราได้ประมาณ 2 ปีกว่าแล้ว เฟรกเซลยังใช้หลักการเดิมของการขัดผิว แต่แทนที่จะขัดไปทีเดียวทุกอนูขุมขน เลเซอร์เฟรกเซลจะลงไปขัดผิวเป็นจุดเล็ก ๆ ซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ในหนึ่งตารางเซ็นติเมตรที่ทำการขัดผิวนั้นอาจจะเกิดการหลุดลอกของผิวหนังเป็นจุดเล็ก ๆ ได้ตั้งแต่ 1,000-3,000 จุด ซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นแต่ถ้าใช้แว่นขยายส่องเพชรมาส่องดูล่ะก็จะเห็นได้ว่าเป็นจุดดำ ๆ เล็ก ๆ เรียงรายกันมากมาย สิ่งที่เราจะเห็นก็คือจุดเล็ก ๆ เหล่านี้รวมตัวกันจนทำให้หน้าดูหมองคล้ำไปแค่ไม่กี่วันหลังจากทำเลเซอร์ ไม่ถึงขนาดต้องพันผ้าพันแผลเป็นมัมมี่เหมือนการขัดผิวแบบโบราณ และไม่มีความจำเป็นต้องหลบแดดเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านออกไปทำมาหากินไม่ได้อีก 2-3 เดือน

ขบวนการรักษาขัดผิวด้วยเลเซอร์เฟรกเซลนั้นง่ายดายกว่าการขัดผิวแบบสมัยก่อนมาก แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องเลือกให้เหมาะสมนะคะ ถ้าหากคนไข้คนไหนมีปัญหาแผลเป็นเป็นหลุม แต่ในขณะเดียวกันแผลเป็นบางบริเวณก็เป็นเนื้อนูนที่เรียกว่า คีลอยด์ (Keloid) อย่างแผลปลูกฝี เราก็จะไม่แนะนำให้ทำเฟรกเซล เพราะคนไหนที่มีแผลเป็นเนื้อนูนก็มีแนวโน้มว่า หากเกิดแผลใหม่ขึ้นมาคุณก็จะมีสิทธิเป็นแผลเนื้อนูนได้อีก หรือคนไข้ที่รับประทานกรดวิตามินเอ รักษาสิว คนไข้ที่เป็นเริมก็ต้องมีระยะการรักษาให้ปลอดโรค และระยะหยุดยามาสักระยะหนึ่งก่อนที่จะมาทำการขัดผิวด้วยเฟรกเซลได้ หลังจากนั้นเมื่อคนไข้พร้อมจะทำคุณหมอก็จะใช้วิธีทายาชาเปอร์เซ็นต์สูง ๆ ไว้เฉพาะที่สัก 45 นาทีแล้วจึงจะใช้แสงเลเซอร์ช่วยขัดผิว และระหว่างที่ทำหากสถาบันไหนมีสตุ้งสตางค์หน่อยก็จะใช้ลมเย็นช่วยเป่าบรรเทาอาการแสบร้อนนอกเหนือไปจากประคบน้ำแข็งไปด้วย ก็เป่าลมไปด้วย คนไข้ก็จะไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนัก และเมื่อทำเสร็จแล้วมักจะมีอาการบวมแดงอยู่แค่ 12-48 ชั่วโมงเท่านั้น ขึ้นอยู่กับว่าการขัดผิวนั้นลึกมากน้อยขนาดไหน

ความจริงเลเซอร์ขัดผิวเฟรกเซลนั้นใช้ในการรักษาปัญหาผิวพรรณได้มากมาย หากคนไข้ที่เป็นหลุมแผลเป็นลึก ๆ หรือริ้วรอยเหี่ยวย่นทั้งบนใบหน้า คอ หรือมือ หรือแขน ก็สามารถขัดเฟรกเซลได้หมด เพียงแต่ถ้าต้องการเห็นผลชัดเจนในครั้งเดียวคงต้องขัดกันลึก ขัดกันเยอะ เพราะฉะนั้นการบวมแดงก็จะตามมาได้ 2-3 วัน จึงควรจะทำช่วงวันหยุดยาว ๆ หลังจากอาการบวมแดงหายแล้วสามารถทาครีมกันแดด ปะแป้งแต่งหน้าไปทำงานได้ตามปกติ ในขณะเดียวกันบางครั้งมีปัญหาแค่ตื้น ๆ เช่นเป็นริ้วรอยเหี่ยวย่นเล็ก ๆ แผลเป็นไม่ลึก หรือมีกระ ฝ้า หน้าหมองคล้ำ ก็สามารถใช้เลเซอร์เฟรกเซลขัดผิวตื้น ๆ ได้ ซึ่งการขัดแบบตื้น ๆ นี้สบายกว่ากันมากเพราะอาการบวมแดงมีแค่คืนเดียว วันรุ่งขึ้นก็ทายากันแดด ผัดแป้งแต่งหน้าออกงานกันได้แล้วค่ะ

นอกจากเลเซอร์เฟรกเซล (Fraxel) จะใช้ได้ผลดีกับริ้วรอยเหี่ยวย่นลึก ๆ หลุมแผลเป็นที่รักษาด้วยวิธีอื่นไม่หายแล้ว ยังใช้ได้ดีกับรอยแตกของผิวจากการยืดตัวของชั้นผิวหนังต่าง ๆ ในระหว่างตั้งครรภ์ หรือขณะกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงวัยรุ่น ทำให้เกิดการฉีกขาดของเนื้อเยื่อในชั้นหนั้งแท้กลายเป็นแผลเป็น หน้าท้อง และต้นขาแตกลาย ซึ่งจะใช้ครีมบำรุงเลิศหรูสุดแพงขนาดไหนก็แก้ไขปัญหารอยแตกนี้ไม่ได้ เพราะเป็นแผลเป็นชนิดหนึ่ง การใช้เลเซอร์เฟรกเซลขัดผิวบริเวณรอยแตกนั้นสามารถช่วยให้รอยแตกจางลง แถมผิวตึงขึ้น กลับมานุ่งบิกินี่โชว์หน้าท้องเนียนได้อีกครั้ง เห็นไหมคะมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ มากมายที่จะช่วยให้คุณผู้หญิงเราสวยสดงดงามไปนาน ๆ เป็นสาว 2,000 ปี ไม่มีใครเดาอายุกันได้ถูกเลย แต่อย่าลืมว่าขอให้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกันจริง ๆ นะคะ

บทความโดย
Pakpilai Thavisin, M.D.
S Medical Spa

เกลี่ยหลุมแผลเป็น ริ้วรอยเหี่ยวย่น หน้าท้องต้นขาแตกลาย ด้วยเลเซอร์
เกลี่ยหลุมแผลเป็น ริ้วรอยเหี่ยวย่น หน้าท้องต้นขาแตกลาย ด้วยเลเซอร์
เกลี่ยหลุมแผลเป็น ริ้วรอยเหี่ยวย่น หน้าท้องต้นขาแตกลาย ด้วยเลเซอร์
เกลี่ยหลุมแผลเป็น ริ้วรอยเหี่ยวย่น หน้าท้องต้นขาแตกลาย ด้วยเลเซอร์
เกลี่ยหลุมแผลเป็น ริ้วรอยเหี่ยวย่น หน้าท้องต้นขาแตกลาย ด้วยเลเซอร์


 

เทคนิคพิชิตคอเลสเตอรอล
วันที่ 03/06/2010  17:12:08 PM ,ผู้เข้าชม : 4781
เทคนิคพิชิตคอเลสเตอรอลสูง เคล็ดลับรักษาชีวิต รักษาสุขภาพจากโรคหัวใจและหลอดเลือด

เทคนิคพิชิตคอเลสเตอรอลเทคนิคพิชิตคอเลสเตอรอล

เทคนิคพิชิตคอเลสเตอรอล
 
ใคร ๆ ก็รู้ว่าคอเลสเตอรอลนั้นเป็นไขมันตัวร้ายที่อาจทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือด และมีปัญหาสุขภาพตามมาทั้งอุดตันหลอดเลือดหัวใจทำให้หัวใจวายตายได้อย่างเฉียบพลัน ไปจนถึงการอุดตันหลอดเลือดที่เลี้ยงสมองกลายเป็นอัมพาตในที่สุด แต่หลายคนก็ยังใจเย็นคิดว่าเป็นเรื่องปกติ แก่แล้วคอเลสเตอรอลก็ต้องสูงขึ้นเป็นธรรมดา ทั้ง ๆ ที่จริง ๆแล้วเราสามารถรักษาระดับคอเลสเตอรอลให้อยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยได้ไม่ยาก แทนที่จะรอจนคอเลสเตอรอลสูงแล้วไปกินยาซึ่งแม้ว่าจะช่วยลดคอเลสเตอรอลได้อย่างเห็นผลทันตา แต่ต้องไม่ลืมว่ายาทั้งหลายเป็นสารเคมีแปลกปลอมซึ่งมีผลตกค้างในระยะยาว พบว่ายาในกลุ่ม Statin ที่ใช้ลดคอเลสเตอรอลทั่วโลกนั้น หากใช้ต่อเนื่องนาน ๆ และในปริมาณที่สูงจะทำให้เกิดปัญหาตามมา เช่น กล้ามเนื้ออักเสบ ตับอักเสบ ไปจนถึงไตวาย ระดับฮอร์โมนเพศลดลง โคเอนไซม์คิวเทนหาย หัวใจวาย สมองเสื่อม และเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมากขึ้น ทางที่ดีเรามีวิธีพิชิตคอเลสเตอรอลโดยไม่ต้องเสี่ยงต่อสุขภาพมาให้คุณ

.........................................................................................................
โฆษณา-ลิงก์ผู้สนับสนุน

.........................................................................................................

1. ลดไขมันจากสัตว์คอเลสเตอรอลนั้นเป็นไขมันที่เราได้จากสัตว์เท่านั้น จึงควรลดการบริโภคเนื้อสัตว์ติดมัน หนังไก่ ไข่แดง รวมไปถึงไขมันอิ่มตัวจำพวกกะทิ หรือไขมันดัดแปลงจำพวก Trans Fatty Acid ซึ่งแม้ไม่ได้มีคอเลสเตอรอลโดยตรง แต่เมื่อรับประทานเข้าไปร่างกายเราก็จะนำไปเปลี่ยนเป็นคอเลสเตอรอล มีผลเสียต่อสุขภาพเช่นกัน หันมาบริโภคไขมันไม่อิ่มตัวจากน้ำมันพืช เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกทานตะวันจะดีกว่า

2. ขจัดคอเลสเตอรอลด้วยการออกกำลังกายแทนการใช้ยา ซึ่งอาจมีพิษมีภัยในอนาคต หันมาออกกำลังกายโดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบแอโรบิค เดินเร็วๆ วิ่งจ็อกกิ้ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยานครั้งละ 30-60 นาทีสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญคอเลสเตอรอลส่วนเกินออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สำคัญการออกกำลังกายเป็นวิธีเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี HDL ซึ่งช่วยนำพาคอเลสเตอรอลจากหลอดเลือดไปขจัดออกจากร่างกายได้ดียิ่งขึ้น ลดคอเลสเตอรอลตัวร้าย เพิ่มคอเลสเตอรอลตัวดีซึ่งยาเคมีส่วนใหญ่ยังทำไม่ได้เท่าการออกกำลังกาย แถมการออกกำลังกายยังช่วยให้หัวใจและหลอดเลือดแข็งแรง เป็นการลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจไปในตัว

3. ใช้อาหารเสริม ความจริงอาหารเสริมนั้นทำมาจากอาหารธรรมชาติ มีอาหารธรรมชาติมากมายหลากหลายที่ช่วยลดการดูดซึม สะสม ตกค้างของสารคอเลสเตอรอล ที่ใช้กันมากก็ได้แก่

  •  เส้นใยอาหารหรือไฟเบอร์ ที่มีในผักผลไม้ ข้าวโอ๊ต ข้าวซ้อมมือ ธัญญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี หากรับประทานผักผลไม้สดได้เป็นประจำ ก็จะลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอลจากอาหารเข้าสู่ร่างกาย ใครไม่สามารถกินผักผลไม้ได้วันละ 5-8 จานย่อมๆล่ะก็ แนะนำให้ใช้อาหารเสริมจำพวกเส้นใยอาหาร หรือไฟเบอร์ที่สกัดมาจากแอปเปิ้ล ส้ม หรือมันบุกกรูโคมาแนน จะช่วยลดการดูดซึมของทั้งน้ำตาลและไขมันอิ่มตัว รวมทั้งคอเลสเตอรอล เป็นการลดคอเลสเตอรอลอย่างธรรมชาติมากที่สุด
  • อาหารเสริมจำพวก Fat Blocker หรือตัวดูดซับจับไขมัน สมัยก่อนนิยมไคโตซานซึ่งเป็นเส้นใยจากเปลือกกุ้ง กระดองปู จับไขมันได้ 5-10 เท่าแปลว่าไคโตซาน 1 กรัมลดการดูดซึมของไขมันได้ประมาณ 5-10 กรัมแต่ไม่เฉพาะเจาะจงว่าลดเฉพาะคอเลสเตอรอล หากไขมันดีก็จะถูกบล็อคไปด้วย ในปัจจุบันนิยมใช้ตัวจับไขมันที่สกัดมาจากตะบองเพชรฝรั่งเศสนีโอปุนเชีย ช่วยลดการดูดซึมของไขมันอิ่มตัวจำพวกคอเลสเตอรอลได้ดี ใช้มากในอาหารเสริมลดความอ้วน ที่มีผลพวงพลอยได้เป็นการลดคอเลสเตอรอลในเลือด
  • ล่าสุดอาหารเสริม Stanol ที่มาจากพืช (Plant Stanol) หรือ Benecol ที่วางจัดจำหน่ายแพร่หลายอยู่ในยุโรปทั้งอังกฤษ เยอรมัน สวิสเซอร์แลนด์ ฟินแลนด์ ไปจนถึงอเมริกา มาในรูปของอาหารธรรมชาติที่เติม Stanol จากพืช ทั้งเนยเทียม โยเกิร์ต เครื่องดื่ม ที่มี Stanol ประมาณ 2 กรัมจะช่วยลดไขมันคอเลสเตอรอลทั้งหมดและคอเลสเตอรอลตัวร้าย LDL ได้มากถึง 15% ภายในเวลาแค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น อ.ย.หลากหลายประเทศจึงเสนอให้ประชากรของเขาหันมารับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของ Stanol จากพืชซึ่งสกัดมาจากข้าวโพด ข้าวบาเล่ห์ ข้าวไรด์ ให้ผลดีในการลดไขมัน ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ใกล้เคียงกับการใช้ยา แต่ไม่มีข้อแทรกซ้อน ใครที่คอเลสเตอรอลไม่สูงมากนักก็สามารถดื่มกิน Benecol วันละครั้งช่วยลดคอเลสเตอรอลได้เท่ากับยา แต่หากใครคอเลสเตอรอลสูงปรี๊ด ก็อาจจะต้องใช้ยาควบคู่กันในระยะแรก แต่ไม่ต้องใช้ยาปริมาณมากจึงลดความเสี่ยงของอันตรายจากยา

4. ใช้ยาหากจำเป็นเอาไว้เป็นกระบี่ไม้สุดท้าย หากควบคุมอาหารก็แล้ว ออกกำลังกายก็แล้ว ใช้อาหารเสริมก็แล้วคอเลสเตอรอลยังไม่ลง ก็คงจำเป็นต้องพิจารณาการใช้ยาลดไขมัน แต่ก็ควรจะใช้ในปริมาณน้อยๆ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเมื่อควบคุมคอเลสเตอรอลในเลือดได้แล้วก็ควรจะเลิกการใช้ยาไปในที่สุด เพื่อจะได้ไม่ต้องไปเสี่ยงกับภาวะตับไตเสื่อมจากยาเคมี

ปัญหาคอเลสเตอรอลสูงเป็นปัญหาสุขภาพที่เจอบ่อยที่สุดชนิดหนึ่ง และนำมาซึ่งโรคหัวใจและหลอดเลือดซึ่งเป็นสาเหตุของการตายอันดับ 1 ของประชากรโลก ทางที่ดีรักษาชีวิตรักษาสุขภาพร่างกายไว้ด้วยการลดคอเลสเตอรอลตั้งแต่วันนี้ดีกว่า

บทความโดย
Pakpilai Thavisin, M.D.
S Medical Spa

เทคนิคพิชิตคอเลสเตอรอล
เทคนิคพิชิตคอเลสเตอรอล
เทคนิคพิชิตคอเลสเตอรอล
เทคนิคพิชิตคอเลสเตอรอล


 

                     

สุดยอดเทคโนโลยีใหม่สลายไขมัน
วันที่ 24/05/2010  22:29:57 PM ,ผู้เข้าชม : 4963
สุดยอดเทคโนโลยีใหม่สลายไขมัน ลดน้ำหนัก ลดความอ้วน คืนความสาวสวย หุ่นดี ของคุณผู้หญิง

สุดยอดเทคโนโลยีใหม่สลายไขมันสุดยอดเทคโนโลยีใหม่สลายไขมัน

สุดยอดเทคโนโลยีใหม่สลายไขมัน

นักวิทยาศาสตร์ไม่เคยหยุดนิ่งที่จะค้นคว้าหาสิ่งใหม่ ๆ ทั้งที่ช่วยชีวิตคน และช่วยให้คุณผู้หญิงคงความสวยงามของวัยสาวไว้ได้นานที่สุด หนึ่งในนั้นก็คือ เรื่องของการสลายไขมัน ลดน้ำหนักส่วนเกิน กระชับสัดส่วน ให้ผอมเพรียวไปนาน ๆ และเทคโนโลยีล่าสุดที่กำลังมาแรงแซงโค้ง ก็คือการใช้คลื่นเสียง หรืออัลตร้าโซนิคในการเข้าไปสลายไขมัน ชั้นใต้ผิวหนัง

.........................................................................................................
โฆษณา-ลิงก์ผู้สนับสนุน

.........................................................................................................

ความน่าสนใจก็คือ เป็นเทคนิคที่ไม่ต้องเจ็บตัว ราคาไม่แพง เห็นผลได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสาว ๆ ที่น้ำหนักตัวไม่ได้มากเกิน เพียงแต่มีไขมันย้วย บางจุด เช่น หน้าท้อง ท้องขา หรือต้นแขน แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น การฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การใช้คลื่นวิทยุ RF แต่คลื่นอัลตร้าซาวด์ก็มีผลดี ไม่แพ้กัน อาจจะดีกว่าในแง่ไม่ต้องเจ็บตัว

ความจริงอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้คลื่นเสียงอัลตร้าซาวน์นั้นมีมาหลาย 10 ปีแล้ว โดยในระยะแรกจะใช้ในเรื่องของการวินิจฉัยโรค เช่นการส่งคลื่นเสียงลงไปตกกระทบกับเนื้อเยื่อต่างๆ หรืออวัยวะภายในที่มีความเข้มข้นแตกต่างกัน ก็จะสะท้อนออกมาให้เป็นภาพ เห็นได้ทางจอโทรทัศน์ หรือจอคอมพิวเตอร์ เช่น การตรวจดูเพศของทารกน้อยในครรภ์ หรือตรวจดูว่าทารกน้อยนั้นมีความสมบูรณ์มากน้อยขนาดไหน

ล่าสุดนี้ทีมงานวิจัยค้นพบว่าคลื่นเสียงความถี่ไม่สูงมากนัก จะมีผลส่งแรงสั่นสะเทือน ทำให้เซลไขมันมีการขยาย และการหดตัวอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็เกิดการแตกตัวของเซลไขมัน กลายเป็นไขมันเหลว ๆ ที่ร่างกายจะสามารถกำจัดไขมันส่วนนี้ออกไปได้ด้วยระบบการไหลเวียนของท่อน้ำเหลือง ซึ่งก็ต้องไปผ่านการขับออกทางตับ และทางลำไส้ใหญ่ออกมาอีกทีหนึ่ง

นอกจากแรงสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงที่มีผลให้เซลไขมันแตกแล้ว ยังพบว่าคลื่นเสียงที่พอเหมาะนั้น จะสามารถกระตุ้นให้เกิดอุณหภูมิที่สูงขึ้นในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งมีผลโดยตรงไปเร่งขบวนการสลายไขมัน หรือ เร่ง เมตาโบลิซึม กระตุ้นให้เส้นเลือดแดงขยาย นำออกซิเจนมาเลี้ยง และออกซิเจนก็จะช่วยในการเผาพลาญไขมันส่วนเกินเหล่านี้อีกต่อหนึ่ง นอกจากนี้หลอดเลือดที่ขยายตัวก็จะช่วยลำเลียงเอาไขมันออกไปจากบริเวณหน้าท้อง หรือเซลลูไลท์ และที่สำคัญอุณหภูมิอุ่นร้อนน้อย ๆ เหล่านี้ ยังกระตุ้นเส้นประสาทรับความรู้สึกให้รู้สึกสบาย ๆ ผ่อนคลายได้อีกด้วย

และเพราะการกระตุ้นให้เส้นเลือดฝอยขยายนำออกซิเจนมาเลี้ยงได้ดี จึงเป็นการช่วยกระชับผิว ลดปัญหารอยแตกจากการฉีกขาดของเนื้อเยื่อคอลลาเจน และอีลาสตินในชั้นหนังแท้ ผิวหนังดูฟิตและเฟิร์มขึ้น เรียบขึ้นจึงได้ผลดีกับผิวหนังบริเวณที่เป็นเซลลูไลท์ หรือผิวเปลือกส้มของคุณผู้หญิงอย่างชัดเจน ทั้งนี้ก็เพราะขบวนการนวด และการปลดปล่อยพลังงานคลื่นเสียงนี้ จะมีผลโดยตรงทั้งสลายไขมัน กระชับผิวและยังสลายเยื่อพังผืดที่ยึดผิวติดกับชั้นไขมัน ทำให้ผิวขรุขระเหมือนเปลือกส้ม ถูกสลายออกไป ได้ผิวเรียบเนียนแทน

งานวิจัยพบว่าการใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์เพียงแค่สัปดาห์ละครั้ง ต่อเนื่องกัน 6 สัปดาห์ จะมีผลให้เซลลูไลท์อันตรฐานหายไปได้ไม่ยากเย็น และช่วยกระชับสัดส่วน ลดไขมันหน้าท้อง ต้นขาได้ง่าย ๆ

เทคนิคการใช้คลื่นเสียงสลายเซลลูไลท์สลายไขมันนั้นก็ไม่ได้ยุ่งยากเลย เพียงแค่นอนผ่อนคลายสบาย ๆ ใช้หัวส่งคลื่นเสียง นวดไปบริเวณที่ต้องการขจัดไขมัน ทำได้หมดทุกส่วนทั้งท้องแขน ปีกหลัง หน้าท้อง บั้นเอว สะโพก ต้นขา น่อง หรือแม้กระทั่งเหลาคางที่ห้อย ๆ ย้อยอีกต่างหาก ระหว่างทำอาจจะรู้สึกอุ่น ๆ แต่ไม่ถึงขนาดร้อน และผิวหนังอาจจะมีสีแดงจากการที่เส้นเลือดฝอยขยาย มีเสียงอี๊ดอ๊าดเล็กน้อย ซึ่งอาจจะเป็นข้อด้อยของคลื่นอัลตร้าซาวด์ที่อาจมีผลให้คนบางคนเสียวฟัน หรือเสียวแก้วหู ระหว่างที่ทำการรักษา ได้เหมือนกัน ผิวหนังจะอุ่นสบาย ๆ ได้ผ่อนคลาย และจะมีความรู้สึกอุ่น ๆ เล็ก ๆ อยู่ใต้ผิวหนังไปได้อีก 1-2 วัน จึงไม่จำเป็นต้องทำบ่อยมากนัก

เทคโนโลยีนี้นับว่าปลอดภัยไร้กังวลมากที่สุดเทคนิคหนึ่ง อาจจะมีข้อห้ามเฉพาะคนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดติดเครื่องกระตุ้นการเต้นของหัวใจ หรือคนไข้ที่มีอัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ ก็ควรจะต้องบอกแพทย์สักนิดหนึ่ง เพราะไม่ว่าจะเป็นคลื่นวิทยุหรือ คลื่นเสียงก็อาจจะมีผลต่อการเต้นของหัวใจได้มากบ้าง น้อยบ้าง ทางที่ดีหลีกเลี่ยงเสียดีกว่าค่ะ แต่นับว่าปลอดภัยไม่เหมือนการดูดไขมัน ที่ต้องเสี่ยงต่อยาสลบ และยังเสี่ยงต่อการที่เศษไขมันหลุดล่องลอยไปตามกระแสเลือด และไปอุดตันหลอดเลือดหัวใจ จนหัวใจหยุดเต้น ถึงแก่การเสียชีวิตอย่างที่เห็นเป็นข่าวบ่อย ๆ

การใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์สามารถ สลายไขมัน และเซลลูไลท์ได้อย่างง่าย ๆ ไม่เจ็บตัวราคาก็ไม่แพง อยู่ในหลักพัน หรือถ้าจะให้ดีทำเป็นคอร์ส 6-8 ครั้ง ก็อยู่ในหลักหมื่น ยังไงก็ถูกกว่า ปลอดภัยกว่าการผ่าตัดดูดไขมันตั้งเยอะ และสามารถเร่งให้เห็นผลเร็วขึ้นได้ด้วยการใช้ควบคู่กับเทคนิคการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สลายไขมัน หรือคาร์บอกซี่ เทอเรอปี Carboxy Therapy ซึ่งอาจจะทำพร้อมกันในวันเดียวได้ แต่ถ้าจะทำควบคู่กับเทคนิคคลื่นวิทยุล่ะก็ขอแนะนำให้ทำกันคนละวัน มิฉะนั้นอาจจะสลายไขมันพร้อม ๆ กัน มากเกินไป ที่สำคัญทำเสร็จแล้วสามารถไปออกกำลังกายเล่นกีฬากลับไปทำงานได้ตามปกติ ไม่มีอาการปวดบวมอ่อนล้าแต่อย่างใด หากครบอาทิตย์ก็ค่อยมาเข้าโปรแกรมใช้คลื่นเสียง สั่น เขย่า สลายไขมัน อีกครั้งหนึ่ง เผลอแป๊บเดียว เอวก็หายกันไปเป็นนิ้วได้ไม่ยากเย็น นี่ แหล่ะค่ะเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ที่จะช่วยให้คุณผู้หญิง สามารถมีสัดส่วนกระชับ และสลายเซลลูไลท์หนามยอกอกยอกใจคุณผู้หญิง ได้อย่างเห็นผลค่ะ

บทความโดย
Pakpilai Thavisin, M.D.
S Medical Spa

สุดยอดเทคโนโลยีใหม่สลายไขมัน
สุดยอดเทคโนโลยีใหม่สลายไขมัน
สุดยอดเทคโนโลยีใหม่สลายไขมัน
สุดยอดเทคโนโลยีใหม่สลายไขมัน




 

                     

ดีท็อกซ์ เพื่อสุขภาพ
วันที่ 24/05/2010  21:46:17 PM ,ผู้เข้าชม : 3359
ดีท็อกซ์ ล้างสารพิษเพื่อสุขภาพ ห่างไกลจากโรคมะเร็งอย่างแน่นอน Dtox for Health

ดีท็อกซ์ เพื่อสุขภาพดีท็อกซ์ เพื่อสุขภาพ

ดีท็อกซ์ เพื่อสุขภาพ

คุณทราบหรือไม่ว่า คนไทยเราในปัจจุบันนี้ มีสาเหตุการตายอันดับ 1 มาจากโรคมะเร็ง เป็นมาอย่างนี้สัก 3 ปี เห็นจะได้ หลายประเทศในยุโรปและอเมริกา อัตราการตายสูงสุดมาจากโรคหัวใจ แต่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าภายใน ไม่เกิน 20 ปี ประชากรโลก จะตายมากที่สุดจากโรคมะเร็งนั่นเอง

.........................................................................................................
โฆษณา-ลิงก์ผู้สนับสนุน

.........................................................................................................

การเกิดมะเร็งนั้นสาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจาก การที่ร่างกายเรามีการสะสมของเสียหรือสารเป็นพิษมานานวัน สะสมไปสะสมมาร่างกายกำจัดออกไปไม่หมด ก็ไปกระตุ้นให้ขบวนการซ่อมแซมเซลในร่างกายผิดปรกติ แล้วก็เลยได้เซลมะเร็งเป็นของแถม ซึ่งถ้าหากมีเซลมะเร็งแอบแฝงอยู่ในร่างกายคุณ แต่ภูมิต้านทานแข็งแรงเป็นเลิศ ร่างกายเราก็จะตรวจเช็คเจอว่ามีเซลที่ผิดปรกติแล้วหาทางกำจัดออกไปได้เองตามธรรมชาติ งานวิจัยจากมาหาวิทยาลัยชื่อดังในอเมริกา เห็นพ้องต้องกันว่า ตลอดชีวิตคุณนั้น คุณมีโอกาสเกิดเซลมะเร็งได้มากกว่า 10 ครั้ง บางคนเป็นได้มากกว่า 50 ครั้ง แต่ไม่ได้แปลว่าคุณเป็นโรคมะเร็งนะคะ เพราะทุกครั้งที่เกิดความผิดปรกติของเซล เป็นเซลมะเร็งขึ้นมา หากร่างกายตรวจเจอและกำจัดออกไปได้ คุณก็ปลอดภัยจากโรคมะเร็ง แต่ถ้าหากมีของเสียสะสม มีสารเป็นพิษมากมายในร่างกาย แล้วร่างกายกำจัดออกไปไม่หมดบวกกับภาวะที่ภูมิต้านทานอ่อนแรงลง อดหลับอดนอน เครียดจัด เซลมะเร็งน้อยก็ค่อยๆขยายเผ่าพันธุ์ จนกลายเป็นก้อนมะเร็งแล้วลุกลามไปทั่วร่างกาย จนสุดท้ายเจ้าของกายนั้นก็เสียชีวิตเมื่อแพ้ต่อเจ้ามะเร็ง ดังนั้นขบวนการป้องกันการเกิดมะเร็ง ที่สำคัญก็คือการกำจัดสารพิษของเสีย หรือ ดีท็อกซ์ร่างกาย และเพิ่มภูมิต้านทานให้ตัวคุณเองอยู่เสมอ

อันดับแรกก็คือ อย่านำสิ่งเป็นพิษทั้งหลายเข้าไปในร่างกายเราเลยนะคะ การดีท็อกซ์ น่าจะเริ่มด้วยการหลีกเลี่ยงสารพิษทั้งหลาย ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ไม่รับประทานอาหารปิ้งย่างทอดจนเกรียม ส่วนที่ไหม้ๆของหมูปิ้งนั่นล่ะค่ะคือตัวร้ายที่ทำให้เกิดมะเร็งได้ รวมไปถึงอาหารหมักดอง อาหารสำเร็จรูปที่ผ่านขบวนการแปรสภาพมามากมาย ที่สำคัญคือ น้ำตาล น้ำตาลทรายในขนมหวาน น้ำตาลแลคโตสในผลิตภัณฑ์นม แม้ไม่ทำให้เกิดมะเร็งโดยตรง แต่ก็เป็นอาหารอันโอชะของเจ้าเซลมะเร็ง ทุกครั้งที่คุณกินขนมหวาน น้ำตาล ก็ทำให้เจ้ามะเร็งกระดี้กระด้าได้พลังงานและเจริญงอกงามเร็วขึ้น ทั้งยังมีรายงานว่า อาหารจำพวกผลิตภัณฑ์จากนมวัวทั้ง นม เนย ชีส เบเกอรี่อร่อยๆทั้งหลาย และน้ำตาลในขนมหวานจะทำให้ สภาพร่างกายของเรานั้นมีความเป็นกรด เมื่อเป็นกรดร่างกายก็จะสร้างเยื่อเมือกปกคลุมส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งเป็นตัวช่วยให้เซลมะเร็งขยายตัวได้เร็วยิ่งขึ้น ทางที่ดีหันมารับประทาน มังสวิรัติ ชีวจิต Raw Food Diet เน้นอาหารที่ยังคงสภาพธรรมชาติ ทั้งธัญพืชที่ยังไม่แปรรูปไปเป็นขนมปัง หรือเส้นก๋วยเตี๋ยว รับประทานผักสด ผลไม้ ที่มีวิตามินแร่ธาตุและสารแอนติ้ออกซิแดนท์ ช่วยลดและชะลอความเสื่อมของเซลในอวัยวะต่างๆ ที่สำคัญดื่มน้ำสะอาดให้ได้มากๆ เพราะน้ำจำเป็นต่อการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายในทุกๆระบบ ไม่ว่าจะเป็นการหายใจออกก็ต้องมีไอน้ำ เหงื่อที่ออกจากผิวหนังช่วยกำจัดของเสียก็ต้องมีน้ำ กระบวนการขับของเสีย อุจจาระ ปัสสาวะ ก็ต้องมีน้ำและกระบวนการไหลเวียนของเลือดระบบน้ำเหลืองในร่างกายที่คอยเก็บกักเชื้อโรค และสิ่งเป็นพิษจากอวัยวะต่างๆไปขับถ่ายออก ทางตับทางไตนั้นก็ต้องมีน้ำอีกเช่นกัน ดังนั้นคุณเพียงขาดน้ำแค่ 2 % ทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะขาดน้ำ คุณก็มีความเสี่ยงต่อมะเร็งต่างๆได้มากขึ้น โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม มะเร็งลำใส้ใหญ่ มะเร็งทางเดินปัสสาวะ จึงขอให้คุณๆแน่ใจว่าดื่มน้ำสะอาดได้มากถึงวันละ 8-10 แก้ว จะช่วยให้ขบวนการขจัดของเสียหรือขบวนการดีท็อกซ์ธรรมชาติทำงานได้ดียิ่งขึ้น

นอกจากจะไม่เอาสารพิษใหม่เข้าไป และดื่มน้ำสะอาดได้มากๆแล้ว ในปัจจุบันยังมีขบวนการช่วยล้างพิษให้กับร่างกายคุณด้วย ทางการแพทย์เรียกว่า ดีท็อกซิฟิเคชั่น(DETOXIFICATION) ซึ่งสามารถทำได้หลายทาง ที่คุณๆอาจจะพอคุ้นเคยก็ได้แก่การ สวนล้างลำไส้ หรือ Colon Cleansing ซึ่งแตกต่างจากเซทที่คุณซื้อมาทำเองที่บ้านนะคะ เพราะการสวนล้างลำไส้ทำที่บ้านด้วยน้ำเพียงแค่ 1.5 ลิตร ล้างได้เพียงแค่สวนของทวารหนัก ไม่สามารถล้างล้ำลึกไปในลำไส้ใหญ่ช่วงต้นๆได้ แต่การสวนล้างทางการแพทย์ จะใช้น้ำกลั่นผสมน้ำเกลือ ให้มีสมดุลเกลือแร่และใช้ ปริมาณทั้งหมด 25 ลิตร จึงสามารถทำได้ในส่วนลึกของลำใส้ใหญ่จริงๆ ซึ่งหากทำภายใต้การดูแลของแพทย์ ก็นับเป็นวิธีการที่ปลอดภัย สามารถทำได้ในเด็กเล็กๆตั้งแต่ 7-8 ขวบ ที่มีปัญหาโรคภูมิแพ้เรื้อรัง ไปจนถึงคนสูงอายุ 80-90 ปีที่มีปัญหาท้องผูกก็ใช้ได้ด้วย ส่วนใหญ่เราใช้ระบบสวนล้างในคนที่ รู้ตัวว่ากินไม่ค่อยจะดี ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ดื่มกาแฟจัด รับประทานอาหารสำเร็จรูป ฟาสต์ฟู้ด กินของปิ้งของย่าง อาหารทอดกันเป็นประจำ ไปจนถึงคนทีมีปัญหาการอักเสบเรื้อรัง ทั้งสิวอักเสบ ภูมิแพ้ ไขข้ออักเสบเรื้อรัง ล้วนแล้วจะได้รับประโยชน์จากการสวนล้างลำไส้ทั้งสิ้น จะต้องทำบ่อยมากน้อยแค่ไหนอันนี้ต้องขึ้นอยู่พฤติกรรมของคนไข้แต่ละคนนะคะ ถ้าหากทำไปรอบหนึ่งแล้ว กลับไปดูแลตัวเองอย่างดี เลือกรับประทานแต่อาหารธรรมชาติ ไม่มีสิ่งตกค้างก็อาจไม่ต้องทำกันเลยเป็นปีๆ แต่ถ้าคนไหนเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองไม่ได้ ยังตามใจปากรับประทานทุกอย่างที่ขวางหน้า เห็นทีจะต้องทำกันบ่อยๆทุกๆ 6 เดือน หรือ 1 ปี ขึ้นอยู่กับภาวะของร่างกายว่ามีโรคภัยไขเจ็บมากแค่ไหน

ความจริงระบบสวนล้างลำไส้นั้นนับว่าปลอดภัย มีข้อห้ามเล็กน้อยเช่น ผู้หญิงตั้งครรภ์ คนที่มีริดสีดวงทวารที่มีเลือดออกสดๆ หรือคนที่เพิ่งผ่าตัดในช่องท้องมา 3 เดือน หรือคนที่มีเนื้องอกในลำใส้ อันนี้เราก็ไม่ควรไปรบกวนหรือไปยุ่งอะไรกับเขา อาจจะใช้วิธีดีท็อกซ์อื่นๆ อย่างเช่น การอบไอน้ำสมุนไพร ซึ่งสมุนไพรหลากหลายเร่งให้ร่างกายขับพิษออกทางเหงื่อในห้องอบไอน้ำได้ดียิ่งขึ้น หรือการนวดกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำเหลือง ที่เรียกว่า หรือ Lymphatic drainage massage หรือ ดีท็อกซ์มาสสาจ ก็เป็นการนวดที่ให้ความผ่อนคลาย และยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนน้ำเหลืองให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น 7-10 เท่า ทั้งนี้ก็เพราะโดยธรรมชาติระบบน้ำเหลืองเรานั้น มีหน้าที่ช่วยเก็บของเสีย แล้วนำไปทิ้งที่ตับ ขับถ่ายออกมากับอุจจาระอีกทีหนึ่ง แต่ระบบน้ำเหลืองโดยธรรมชาติเดินทางช้ามาก 1 ชั่วโมงไปแค่ 1 เซนติเมตร ถ้าหากต้องเร่งการขับถ่ายของเสีย ช่วยให้ร่างกายดีท็อกซ์ได้เร็วขึ้น การนวดแบบนี้ทำให้ของเสียออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น ถึงเกือบ 10 เท่า ซึ่งจะเห็นผลได้ชัดเจนในคนไข้มะเร็งหลังจากที่รับรังสีบำบัดหรือเคมีบำบัด มีสารตกค้างในร่างกายเยอะ คนไข้จะรู้สึกอ่อนเพลียอย่างมาก หากได้นวดดีท็อกซ์จะช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ลดข้อแทรกซ้อนจากเคมีบำบัดได้อย่างรวดเร็ว

การออกกำลังกาย การอบเซาว์น่าก็ถือเป็นการช่วยให้ร่างกายดีท็อกซ์ได้เร็วยิ่งขึ้น รวมไปถึงการฝึกสมาธิ นั่งหายใจเข้าออกลึกๆช่วยให้ออกซิเจนเข้าไปไหลเวียนในร่างกายเราดียิ่งขึ้น ก็เป็นขบวนการดีท็อกซ์ง่ายๆ ที่คุณสามารถทำได้เองที่บ้าน เราไม่ควรจะเก็บสารพิษสะสมเอาไว้นะคะ เพราะเป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว แล้วคงไม่มีใครอยากจะเป็นมะเร็งอย่างแน่นอน

บทความโดย
Pakpilai Thavisin, M.D.
S Medical Spa

ดีท็อกซ์ เพื่อสุขภาพ
ดีท็อกซ์ เพื่อสุขภาพ
ดีท็อกซ์ เพื่อสุขภาพ
ดีท็อกซ์ เพื่อสุขภาพ


 

 

                     

พลังแห่งชีวิต พลังชีวภาพ กับการบำบัดโรคและความงาม
วันที่ 23/05/2010  15:30:07 PM ,ผู้เข้าชม : 3158
เคล็ดลับความงามด้วยพลังแห่งชีวิต กับการบำบัดโรคและความงาม สวยรับวัยสาวสุขภาพดีของผู้หญิง

พลังแห่งชีวิต พลังชีวภาพ หรือ Energy Medicine กับการบำบัดโรคและความงาม พลังแห่งชีวิต พลังชีวภาพ หรือ Energy Medicine กับการบำบัดโรคและความงาม พลังแห่งชีวิต พลังชีวภาพ หรือ Energy Medicine กับการบำบัดโรคและความงาม

พลังแห่งชีวิต พลังชีวภาพ
หรือ Energy Medicine
กับการบำบัดโรคและความงาม

เรื่องของพลังแห่งชีวิตที่ใช้ในการบำบัดรักษาโรคหรือ Energy Medicine นั้น เชื่อว่าคุณผู้อ่านคงจะต้องทำความคุ้นเคยกับคำนี้เสียตั้งแต่ตอนนี้ล่ะคะ เพราะในอนาคต Energy Medicine จะเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตของมวลมนุษย์เรา ไม่แพ้การแพทย์แผนปัจจุบันที่ใช้ยาเคมีต่างๆ แต่มีแนวโน้มว่าการบำบัดรักษาโรค การดูแลสุขภาพ เชิงพลังงานนั้นน่าจะมีผลดีและไม่มีข้อแทรกซ้อนแตกต่างไปจากการใช้ยาที่เราคุ้นเคย

.........................................................................................................
โฆษณา-ลิงก์ผู้สนับสนุน

.........................................................................................................

แล้วอะไรคือ พลังแห่งชีวิตหรือ พลังชีวภาพ หรือ Energy Medicine จริงๆแล้วอยากให้ทุกท่านทำความเข้าใจก่อนว่า คนเรานั้นไม่ใช่แค่รูปกาย ที่มองเห็นสัมผัสจับต้องได้ แต่จริงๆแล้ว ทั้งคน และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเป็นพลังงานในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป จึงมีรูปกายรูปลักษณ์ที่ต่างกัน แต่ภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายนั้น มีพลังงานสั่นสะเทือนเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างหนึ่ง หากเมื่อไหร่ก็ตามที่การทำงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในร่างกายเราผิดปกติไป ก็เกิดการเสียสมดุล เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมานั่นเอง นักวิทยาศาสตร์และแพทย์ที่ทำงานทางด้านพลังงานชีวภาพ กล่าวไว้ว่า หากเราปรับความสมดุลของพลังงานเหล่านี้ได้ ร่างกายก็กลับมาเป็นปรกติโดยไม่จำเป็นต้องใช้ยา หรือจะว่าไปแล้วยาคือ สารเคมี ซึ่งก็มีพลังงานเฉพาะตัวเข้าไปปรับสมดุลของร่างกายเรา อยู่ที่ว่าเราจะมองในรูปแบบไหน มองในเชิงสารเคมีมันก็เป็นสารเคมี มองในเชิงฟิสิกส์ที่ว่าด้วยพลังงานสิ่งต่างๆก็เป็นพลังงานทั้งสิ้น ซึ่งล้วนแล้วมี ผลบวกและผลลบต่อร่างกายและจิตใจเรา

ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาคุณมีเรื่องเครียดๆไม่สบายใจ หากได้พูดคุยกับใครสักคนหนึ่ง ที่เขาตั้งอกตั้งใจฟัง ให้กำลังใจเรา เพียงแค่ไม่กี่นาทีคุณก็จะรู้สึกดีขึ้นได้ จิตใจแจ่มใสขึ้น นั่นก็เพราะคุณได้ถ่ายทอดพลังงานลบออกไปจากตัวคุณ และได้รับพลังงานบวกจากเพื่อนคู่คิด ที่ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี แต่เมื่อไหร่ที่คุณเครียด คุณบ่นให้ใครสักคนฟังแล้วเค้าบ่นกลับหรือต่อว่าคุณกลับว่า คิดอะไรไม่เข้าท่า มันก็เป็นพลังงานลบกับลบ เจอกันก็เหมือนขั้วแม่เหล็ก ขั้วเดียวกันมันก็ผลักกัน เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรง หรือการแพทย์แผนใหม่มีหลักสูตรการสอนให้หมอเป็นผู้ฟังที่ดี ไม่ใช่คนไข้มานั่งปุ๊บบอกอาการเสร็จปั๊บ หมอก็สั่งยาแล้วก็เชิญออกนอกห้องภายในเวลาไม่เกิน 2 นาที หมอที่ได้เรียนการแพทย์เชิงพลังงาน จะใช้เวลากับคนไข้นานขึ้น รับฟังความทุกข์ร้อน เจ็บไข้ได้ป่วยของคนไข้พร้อมกับให้กำลังใจ เพียงแค่คำพูดที่สร้างกำลังใจให้คนไข้ หรือการสัมผัสที่อบอุ่น ก็มีผลให้คนไข้หายไปได้แล้วกว่าครึ่ง

บางคนอาจจะบอกว่าเป็นเรื่องเหลวไหล พลังงานอะไรวัดไม่ได้ แต่จริงๆแล้วนักวิทยาศาสตร์สามารถวัดคลื่นพลังงานไฟฟ้าที่เปล่งรัศมีออกมาจากตัวเรา ที่เรียกว่า ออร่า (Aura) ซึ่งมีหลากหลายสี มีเครื่องมือในการวัดมากมาย บางครั้งวัดออกมาเป็นพลังงานสีต่างๆ สีแดง สีม่วง สีเหลือง สีเขียวล้วนแล้วแต่มีความหมายที่แตกต่างกันไป บ่งบอกถึงพลังงานพื้นฐานของคนๆนั้น เช่น พวกหมอ พยาบาล มักจะมีแสง ออร่า (Aura) เป็นสีเขียว เพราะเป็นผู้ให้การบำบัดรักษา ส่วนคนที่แสง ออร่า (Aura) รอบตัว เป็นสีเหลืองก็มักจะเป็นคนที่มี จิตใจอ่อนไหว มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ถ้าหากมีคลื่นพลังงานรอบตัวสีแดง เป็นคนที่แอคทีฟอยู่นิ่งไม่เป็น ชอบคิดโน่นทำนี่อยู่เรื่อยๆ หรือใครที่แสง ออร่า (Aura) เป็นสีขาว ฟ้า แปลว่า จิตนิ่ง มีสมาธิดี ซึ่งจะว่าไปแล้วรัศมีหรือแสง ออร่า (Aura) ที่เปล่งออกมาจากตัวเรานั้น เป็นคำกล่าวขานกันมาตั้งแต่โบราณ ก็ลองดูรูปพระเยซูคริสต์ หรือรูปวาดเทวดาทั้งหลาย ก็มักจะมีแสง ออร่า (Aura) สีเหลืองทอง อยู่รอบศีรษะ นั่นคือแสง ออร่า (Aura) ของผู้มีบุญ

คลื่นพลังงานบางครั้งก็วัดได้ด้วยการถ่ายภาพระบบพิเศษ คิดค้นจากมหาวิทยาลัยในเกาหลี และยอมรับกันแพร่หลาย เพียงแค่ถ่ายรูปคนไข้ ก็สามารถระบุได้ว่า คนๆนั้นมีความผิดปรกติมากน้อยแค่ไหน หรืออีกระบบหนึ่งเรียกว่า ระบบ ควอนตั้มฟิสิกส์ เป็นการตรวจวัดคลื่นพลังงานของอวัยวะทุกๆส่วนในร่างกาย ตรวจวัดความสมดุลของ วิตามิน แร่ธาตุ สารอาหาร ฮอร์โมน รวมไปถึง สารพิษหรือสารอาหารที่ร่างกายรับไม่ได้ ตรวจเช็คถึงความสามารถของระบบย่อยอาหารว่า ย่อยแป้ง น้ำตาล ผลไม้ หรือโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งการตรวจเช็คระบบพลังงานนี้ข้อดีก็คือ ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องเจาะเลือด ไม่ต้องเสียเวลารอผลแล็บทางเคมี ตรวจปุ๊บอ่านผลได้ทันที ความแม่นยำสูง และอ่านได้ละเอียดกว่าการเจาะเลือดที่เราใช้กันเป็นประจำด้วยซ้ำไป ทั้งนี้เพราะสารเคมีบางอย่างมีปริมาณน้อยนิด ไม่สามารถตรวจได้ด้วยแล็บปรกติในโรงพยาบาล แต่การตรวจคลื่นวัดพลังงานระบบ ควอนตั้ม แม้จะมีพลังงานเพียงนิดเดียวก็สามารถตรวจเช็คได้

นอกจากเราจะใช้ความรู้เชิงพลังงานชีวภาพ มาตรวจเช็คสุขภาพร่างกายคนไข้แล้ว ในปัจจุบันเริ่มมีการใช้ความรู้เชิงพลังงานนี้ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งจะว่าไปแล้วการแพทย์แผนโบราณ การแพทย์ทางเลือกที่เราใช้กันมานับพันปีก็เป็นเรื่องของพลังงานทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นพลังจักรวาล Reiki หรือแม้การนั่งสมาธิด้วยตัวคุณเองที่บ้าน ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ร่างกายพยายามรักษาสมดุลของพลังงานบวกทั้งหลายเอาไว้ และการนั่งสมาธิเฉยๆก็อาจจะช่วยให้ ภูมิต้านทานแข็งแรงขึ้น สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น โรคภัยไข้เจ็บต่างๆก็อาจหายไปได้ หรือแม้พลังจากการคิดบวก ก็สามารถช่วยให้คนไข้มากมายหายขาดจากมะเร็งร้ายได้ แต่ถ้าหากคนไหนที่พลังงานคิดลบ จิตตก พอรู้ว่าเป็นมะเร็งขอตายดีกว่า รับรองตายแน่ๆ เพราะพลังงานในร่างกายถูกดับสิ้นไปด้วยความคิดที่เป็นลบ เมื่อพลังงานหายไปร่างกายก็อยู่ไม่ได้ แต่จะว่าไปแล้วการรักษาในปัจจุบันก็มีการใช้พลังงานมากมายนะคะ อย่างเช่น เลเซอร์ โดยเฉพาะประเภท LLLT หรือ Low Level Laser Light Therapy ซึ่งหมายถึงการใช้พลังงานแสงน้อยๆไปช่วยปรับสมดุลของร่างกาย หรือพลังงานจากแสงใกล้ๆอินฟาเรดก็สามารถช่วยให้แผลต่างๆหายได้เร็วยิ่งขึ้น การใช้ แสงเลเซอร์ ความถี่เฉพาะในการช่วยกำจัดขน การใช้แสงเลเซอร์อีกความถี่หนึ่งกระตุ้น คลอลาเจน อีลาสติน ช่วยให้ผิวเรียบเนียนแข็งแรง ริ้วรอยเหี่ยวย่นเลือนหายไป ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของการใช้พลังงานในการรักษาทั้งสิ้น

พลังงานเสียงก็มีผลนะคะ ที่เรียกว่า Music Therapy เพราะการได้ฟังเพลงไพเราะหรือ คลื่นเสียงที่มีความเหมาะเจาะกับคลื่นสมองเรา ก็จะช่วยให้คุณนอนหลับสบาย มีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยในไต้หวันพบว่า คลื่นเสียงบางประเภทสามารถกระตุ้นคลื่นสมอง ชนิดอัลฟ่า ซึ่งช่วยให้คนไข้หลับสบาย ดังนั้นหากคุณๆที่เป็นโรคนอนไม่ค่อยจะหลับ หรือหลับไม่ค่อยจะสนิท หากก่อนนอนซัก 15 นาทีได้ฟังเพลงจำพวกนี้ ก็จะช่วยให้คุณหลับสนิท หลับสบายได้ยาวนาน โดยไม่ต้องใช้ยานอนหลับ ไม่เหมือนการใช้ยาเคมีที่ใช้ไปนานๆก็เกิดภาวะติดยา แถมสารเคมีไปกดสมอง ตาปิดก็จริง แต่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกายเสียหาย ไม่มีเมลาโทนิน ไม่มีโกรทฮอร์โมน ตื่นขึ้นมาคุณก็จะรู้สึกโทรมๆ ไม่สดชื่นเหมือนการที่คุณนอนหลับได้เองตามธรรมชาติ

หรือการใช้คลื่นพลังงาน เข้าไปกระตุ้นให้ระบบประสาทและกล้ามเนื้อทำงานเป็นปรกติ ช่วยลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรืออาการเป็นเหน็บชา ปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า ที่เกิดจากกระแสประสาทวิ่งไม่เป็นปรกติ คลื่นพลังงานเหล่านี้สามารถช่วยลดการอักเสบปรับสมดุลของร่างกายได้ โดยที่ไม่มีข้อแทรกซ้อนแต่อย่างใด

ในปัจจุบันแพทย์ทั้งในยุโรป ในอเมริกา หันมาให้ความสนใจในเรื่องของพลังงานชีวภาพในการบำบัดรักษาโรค ทั้งนี้ก็เพราะเป็นวิธีการรักษาโรคร้ายที่ถูกกว่าการใช้ยา และปลอดภัยกว่า ปราศจากข้อแทรกซ้อน เตัวเลขปี2007 พบว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องใช้จ่ายในการดูแลบำบัดโรคให้กับประชาชน มากถึง 1.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐอเมริกาหรือ มากกว่า 40 ล้านล้านบาท ส่วนในอังกฤษก็ใช่ย่อย พบว่าปี2007รัฐบาลอังกฤษต้องเสียเงินในการดูแลรักษาสุขภาพประชากรทั้งประเทศเป็นเงินมากถึง 4.1 พันล้านปอนด์ หรือมากกว่า 2 แสนล้านบาท อันนี้เฉพาะรักษาโรคที่เกี่ยวโยงมาจากความอ้วน นั่นคือ เบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ไขข้ออักเสบไปถึงมะเร็งด้วยนะคะ หากใช้การรักษาแบบ Energy Medicine ค่าใช้จ่ายจะลดลงไปได้มากเลยทีเดียว

แต่เรื่องของพลังงานนั้นก็คงต้องใช้ให้เป็น แม้มีงานวิจัยพลังงานบำบัดมากมาย เช่น การใช้ Solarium ในการรักษาคนไข้วัณโรค แต่ก็มีงานวิจัยที่พบว่าคนที่ไปตรวจเช็คร่างกายโดยการทำ CT Scan อาจมีความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น บทความที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ USA เมื่อปีที่แล้ว กล่าวอ้างว่า CT Scan เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งได้ถึง 3 เปอร์เซนต์ เพราะคุณได้รับรังสีเอ็กเซอร์เรย์ ปริมาณมาก ดังนั้นไม่จำเป็นจริงๆก็อย่าไปเอ็กเซอร์เรย์ หรือ ไปScan ร่างกายเล่นๆนะคะ เรื่องของพลังงานบำบัดหรือพลังชีวภาพ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ คงต้องคอยติดตามข่าวสารกัน เผื่อเราจะมีวิธีช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง โดยไม่ต้องเสียเงินราคาแพงและไม่เสี่ยงกับข้อแทรกซ้อน

บทความโดย
Pakpilai Thavisin, M.D.
S Medcial Spa

พลังแห่งชีวิต พลังชีวภาพ หรือ Energy Medicine กับการบำบัดโรคและความงาม
พลังแห่งชีวิต พลังชีวภาพ หรือ Energy Medicine กับการบำบัดโรคและความงาม
พลังแห่งชีวิต พลังชีวภาพ หรือ Energy Medicine กับการบำบัดโรคและความงาม
พลังแห่งชีวิต พลังชีวภาพ หรือ Energy Medicine กับการบำบัดโรคและความงาม
พลังแห่งชีวิต พลังชีวภาพ หรือ Energy Medicine กับการบำบัดโรคและความงาม
พลังแห่งชีวิต พลังชีวภาพ หรือ Energy Medicine กับการบำบัดโรคและความงาม


 

                     

อยากลดน้ำหนัก อยากผอมสวย อยากหุ่นดี ทำไงดี ?
วันที่ 22/05/2010  15:27:27 PM ,ผู้เข้าชม : 6245
เคล็ดลับลดน้ำหนัก เทคนิคลดความอ้วนสลายไขมัน เคล็ดลับการดูแลตัวเองให้ผอมสวย หุ่นดี

อยากลดน้ำหนัก อยากผอมสวย อยากหุ่นดี ทำไงดีอยากลดน้ำหนัก อยากผอมสวย อยากหุ่นดี ทำไงดี                  

อยากลดน้ำหนัก
อยากผอมสวย อยากหุ่นดี
ทำไงดี ?

คุณต้องการลดน้ำหนัก 3-5 กิโลกรัม แต่พยายามเท่าไร ก็ไม่สำเร็จ แม้จะควบคุมอาหารออกกำลังกายแทบตาย แต่อาจเป็นเพราะทำไม่ถูกวิธี ไม่ถูกกับร่างกายคุณ ปัญหาเส้นผมบังภูเขาง่าย ๆ หมออาจช่วยได้นะคะ

.........................................................................................................
โฆษณา-ลิงก์ผู้สนับสนุน

.........................................................................................................

1. หมอช่วยวิเคราะห์ดีกรีความอ้วน คุณอ้วนจริงหรืออ้วนแค่ในใจคุณ หลายคนบ่นว่าอ้วน เอาเข้าจริงรูปร่างสมส่วนสวยดีอยู่แล้ว เพียงแต่อ้วนกว่านางแบบบนแคทวอล์คนิดเดียว หรือบางทีน้ำหนักตัวก็พอดี ๆ แต่มีสัดส่วนของไขมันสะสมมากเกินไป กลายเป็นพุงห้อย แขนย้อย ไม่ฟิตเปรี๊ยะแน่นปั๋ง หมอจะช่วยวิเคราะห์สัดส่วนไขมันกล้ามเนื้อ และโครงสร้างของแต่ละคน พร้อมจัดโปรแกรมสลายไขมันเฉพาะส่วน หรือลดน้ำหนักทั้งตัวให้คุณได้อย่างเหมาะสม

2. หมอช่วยจัดเมนูอาหาร แม้คุณ ๆ จะรู้ดีว่าต้องกินน้อย ๆ ใช้แรงงานมาก ๆ ให้พลังงานเข้า น้อยกว่าพลังงานออก พลังงานติดลบเมื่อไร น้ำหนักก็จะลดลงมาเอง แต่แม้คุณจะกินน้อยแค่ไหน พุงก็ยังไม่ยอมยุบหายไปเสียที เพราะบางทีที่คุณกินน้อยด้วยปริมาณหากมากด้วยพลังงาน เช่นมื้อเช้าแค่น้ำผลไม้แก้วเดียวอาจให้พลังงานถึง 250 แคลอรี่จากส้ม 5 ผล สู้เลือกไข่ต้ม 1 ฟอง กับส้มสด 1 ผล รวมกันให้พลังงานแค่ 130 แคลอรี่ แถมอิ่มกว่า เพราะได้เส้นใยอาหารจากส้ม มีโปรตีนแร่ธาตุสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย จากไข่มากกว่าน้ำส้ม 1 แก้วด้วยซ้ำ หรือมื้อกลางวันกินแค่ผัดซีอิ้วจานเดียว แต่คุณรู้ไหมว่าเส้นใหญ่ผัดซีอิ้วหมูจานย่อม ๆ ให้พลังงานถึง 700 กว่าแคลอรี่!!! เลือกเส้นหมี่น้ำลูกชิ้นหมูใส่ผักเยอะ ๆ ให้พลังงานแค่ 190 แคลอรี่ เริ่มจดบันทึกอาหารทุกอย่างที่หยิบเข้าปาก แล้วให้คุณหมอผู้เชี่ยวชาญช่วยวิเคราะห์คำนวนปริมาณพลังงาน พร้อมจัดเมนูอาหารที่ให้คุณค่าครบ 5 หมู่แต่มีพลังงานน้อยไม่เกินวันละ 1,200 แคลอรี่

3.หมอช่วยจัดตารางการออกกำลังกายให้ แม้ทุกท่านจะทราบดีว่าการออกกำลังกายเป็นยาวิเศษมหัศจรรย์ ช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงต่อต้านได้ทุกโรค และยังเป็นอาวุธสำคัญจำเป็นต่อการต่อสู้กับโรคอ้วน ช่วยลดน้ำหนัก ขจัดไขมันส่วนเกิน และเพิ่มพูนกล้ามเนื้อให้แน่นเปรี๊ยะ แต่หลายคนก็ยังเริ่มออกกำลังกายไม่ได้เสียที เพราะขี้เกียจบ้าง เพราะเหนื่อยเกินไปบ้าง และบ้างก็อ้างว่าไม่มีเวลา ภาษิตกรีกโบราณสมัยปราชญ์พลาโต บอกเอาไว้ “Those who can*t find time to exercise will soon find time for sickness” หมายความว่าใครก็ตามที่ชอบอ้างว่าไม่มีเวลาออกกำลังกาย อีกไม่นานก็คงจะต้องมีเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบายแน่นอน ปราชญ์พลาโตพูดไว้ตั้งแต่ 400 ปีก่อนคริสตกาล และก็ยังเป็นความจริงจนถึงปัจจุบัน ทางที่ดีให้คุณหมอช่วยจัดโปรแกรมการออกกำลังกายที่เหมาะกับรูปร่าง สุขภาพ ไลฟ์สไตล์ของคุณ หมอกล้าการันตีว่า ใครออกกำลังกายได้ถูกวิธีสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง รับรองว่าไขมันไม่กล้ามาเยือน แต่ย้ำว่า ปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นนะคะ เพราะคุณหมอส่วนใหญ่ เธอก็ไม่เคยออกกำลังกายเหมือนกัน!!

4.หมอช่วยจัดยาและอาหารเสริมเร่งขบวนการสลายไขมัน และป้องกันการสะสมของไขมันและ พลังงานส่วนเกินจากแป้งและน้ำตาลจากอาหาร หมอส่วนใหญ่ชอบจ่ายยา เพราะง่ายดีไม่ต้องพูดไม่ต้องอธิบายมาก ให้ยาออกฤทธิ์กดจิตประสาท ไม่อยากอาหาร แต่ผอมตาโหล เพราะยามักทำให้นอนหลับไม่สนิท แถมหงุดหงิดเอากับคนรอบข้าง ปากแห้ง ไม่นานก็ดื้อยา ต้องคอยปรับเพิ่มปริมาณยา จนในที่สุดไม่ได้ผล ใช้ไปใช้มาเกิดข้อแทรกซ้อนเป็นผลข้างเคียงระยะยาว หมอลดความอ้วนส่วนใหญ่จึงหันมาใช้อาหารเสริมเพิ่มกากเพิ่มเส้นใยจำพวกไฟเบอร์ ให้คุณรู้สึกอิ่มเร็วอิ่มนาน หรือใช้สารไคโตซาน ลดการดูดซึมของไขมัน จากอาหารเข้าสู่ร่างกาย ใช้ถั่วขาวลดการสะสมของแป้งและน้ำตาล แม้ได้ผลช้า แต่ปราศจากผลข้างเคียงหรือข้อแทรกซ้อนในระยะยาว จึงใช้ได้อย่างปลอดภัยสบายใจกว่ากันเยอะ

5.หมอใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยสลายไขมันเฉพาะส่วน ที่นิยมกันมาก ได้แก่การใช้ก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ ฉีดเข้าไปสลายไขมันใต้ผิวหนัง ทั้งบริเวณหน้าท้อง ต้นขา ต้นแขน แม้แต่แก้ม และคางที่ห้อยย้อย ก็ใช้ได้ผลดี ทั้งช่วยสลายไขมัน และกระชับผิวหนังให้เต่งตึง เพราะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด เพิ่มออกซิเจนมาเลิ้ยง มาช่วยซ่อมแซม และเสริมสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวหนัง ผิวจึงเต่งตึงเรียบเนียน ทั้งยังช่วยลบเลือนรอยแตกลายงายของผิวหนังได้อีกด้วย

ส่วนเทคนิคใหม่ใช้คลื่นวิทยุสลายไขมันออกไป เป็นพลังงานความร้อนจนรู้สึก ร้อนผ่าว ๆ บริเวณหน้าท้อง ร้อนต้นขาต่อเนื่องกันไปอีก 2-3 ชั่วโมง ได้ผลดี มีในการพิสูจน์โดยการถ่ายภาพ CT SCAN ตรวจวัดปริมาณไขมันหน้าท้อง ทำการสลายไขมันด้วยคลื่นวิทยุต่อเนื่องกันทุกวัน ๆ ควบคู่ไปกับการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างถูกวิธี แค่ 7 วันไขมันอาจสลายไปได้มากถึง 30% นี่แหล่ะค่ะความมหัศจรรย์ของเทคโนโลยีทันสมัย แต่อุปกรณ์เหล่านิ้ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัดนะคะ สถาบันเสริมสวย หรือสถานลดน้ำหนัก ที่ไม่ใช่คลีนิคแพทย์ จึงไม่สามารถนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้ได้

สุดท้ายหากใช้วิธีไม่เจ็บตัวแล้วยังไม่เห็นผล หมอคงต้องใช้มีด หรือกรรมวิธีที่เจ็บตัวกันบ้าง เช่นการผ่าตัดดูดไขมัน การใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวด์ ซึ่งต้องเจาะรูแทงเข็มที่ผิวหนัง เพื่อสอดใส่ท่อเข้าไปในชั้นไขมัน ไปจนถึงการผ่าตัดกระเพาะ และการเฉือนชิ้นไขมันหน้าท้องออกไปทั้งยวง ก็ลองเลือกดูนะคะ วิธีง่าย ๆ ไม่เจ็บตัวมีให้เลือกหลายชนิด ลองให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำดู คุณจะรู้ว่าการลดน้ำหนักนั้นเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว

บทความโดย
Pakpilai Thavisin, M.D.
S Medical Spa

อยากลดน้ำหนัก อยากผอมสวย อยากหุ่นดี ทำไงดี
อยากลดน้ำหนัก อยากผอมสวย อยากหุ่นดี ทำไงดี
อยากลดน้ำหนัก อยากผอมสวย อยากหุ่นดี ทำไงดี

 

                     

เติมเต็มร่องแก้ม คืนความสาวสวย ด้วย Plalet Rich Plasma (PRP)
วันที่ 22/05/2010  15:09:28 PM ,ผู้เข้าชม : 4215
เติมเต็มร่องแก้ม ลดรอยเหี่ยวย่น คืนความสาวสวยรับวัยสาว ด้วยเจลน้ำเลือดหรือพลาสมาของตัวคุณเอง

เติมเต็มร่องแก้ม คืนความสาวสวยด้วย Plalet Rich Plasma (PRP)เติมเต็มร่องแก้ม คืนความสาวสวยด้วย Plalet Rich Plasma (PRP)เติมเต็มร่องแก้ม คืนความสาวสวยด้วย Plalet Rich Plasma (PRP)

เติมเต็มร่องแก้ม คืนความสาวสวยด้วย
Plalet Rich Plasma (PRP)

เดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยีหลากหลายที่ทำให้คุณดูหนุ่มสาวกว่าวัยเป็น 10 ปี แต่แม้เลเซอร์จะช่วยขจัดปัญหาผิวหมองคล้ำ จุดด่างดำ กระ ฝ้า รวมไปถึงริ้วรอยเหี่ยวย่น แต่ร่องแก้มที่เกิดจากการสูญเสียเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นหนังแท้ ไม่สามารถแก้ได้ด้วยเลเซอร์ ต้องใช้สารเติมเต็ม ยุคแรกสมัยคุณแม่ยังสาว ใช้ซิลีโคน ฉีดเติมให้ร่องเต็ม แต่ซิลิโคนเป็นสารที่ไม่สลายตัว แถมเป็นของเหลว จึงไหลย้อยไปส่วนต่างๆ เกิดเยื่อพังผืดเกาะดึงรั้ง กลายเป็นก้อนแผลเป็นอยู่ในใบหน้า

.........................................................................................................
โฆษณา-ลิงก์ผู้สนับสนุน

.........................................................................................................

มา10กว่าปีหลัง แพทย์ใช้สารเติมเต็มที่เรียกว่า ฟิลเลอร์ (Filler) ซึ่งมีไฮยาลูโรนิกแอซิด เป็นเจลธรรมชาติ ฉีดเข้าไปเติมเต็มทั้งร่องแก้ม หลุมแผลเป็น มีประเภทชั่วคราว 1-2 ปี ก็จะสลายตัวไปเอง กับประเภทที่อยู่ยาวเกิน 5 ปี ซึ่งฉีดแล้วไม่สวยไม่ถูกใจ โหงวเฮ้งเปลี่ยนก็ต้องทนๆไปหลายปีกว่าจะสลายตัว ที่สำคัญบางครั้ง เกิดปฏิกิริยาเป็นเยื่อพังผืดดึงรั้งกลายเป็นก้อนแผลเป็นแข็งๆอยู่ใต้ผิว หรือบางคนร่างกายปฏิเสธกลายเป็นตุ่มพุพองก็มี

ปัจจุบันแพทย์ใช้วิธีธรรมชาติ คือใช้สารเติมเต็มที่มาจากเจลน้ำเลือดหรือพลาสมาของตัวคุณเอง เรียกว่า PRP (Plalet Rich Plasma) ซึ่งมีเกร็ดเลือดอยู่หนาแน่น และยังมีสเต็มเซลล์พร้อมโกรทแฟกเตอร์ ที่ช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมผิวหนังของเรา

ความรู้เรื่อง PRP นั้น ถูกนำมาใช้ทางการแพทย์นานแล้ว โดยพบว่าคนไข้เบาหวานมักจะมีปัญหาว่าหากเกิดบาดแผลที่ผิวหนัง มักหายยาก บางครั้งเป็นแผลถูกตะปูเกี่ยวนิดเดียวที่ขา แต่แผลลุกลามเหวอะหวะ จนในที่สุดต้องตัดขาทิ้ง แพทย์ชาวยุโรปจึงคิดค้น PRP โดยเจาะเลือดคนไข้ ปั่นแยกเม็ดเลือดแดงออกไป นำเฉพาะส่วนพลาสมา ที่มีเกร็ดเลือดหรือสเต็มเซลล์อยู่หนาแน่นเอามาทาลงไปบนแผลของคนไข้เบาหวาน ช่วยให้แผลหายเร็ว แพทย์ผิวหนังจึงได้นำเทคนิคนี้มาใช้ เพื่อฟื้นฟูเติมเต็มริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า

กระบวนการทำไม่ยุ่งยาก เพียงแค่เจาะเลือด 18 ซีซี ปั่นแยกให้เม็ดเลือดแดงตกตะกอน บริเวณรอยต่อระหว่างเม็ดเลือดแดงกับพลาสมานี้ล่ะค่ะ คือ PRP ใช้เทคนิคพิเศษดูด PRP ออกมา แล้วนำมาฉีดบริเวณร่องแก้ม ร่องใต้ตา หรือริ้วรอยลึกๆทำให้ผิวเต็มตื้นขึ้นมาทันที เหมือนฉีดฟิลเลอร์ และเพราะ PRP มีเกร็ดเลือด มีสเต็มเซลล์ และโกรทแฟกเตอร์ จึงช่วยกระตุ้นการสร้าง คอลลาเจนและอีลาสติน จึงได้ผิวพรรณที่เต่งตึงของตัวเองกลับมาจริงๆ บางคนก็เรียกเทคนิคนี้ว่า Autologous Filler

เทคนิคนี้ปลอดภัยเพราะไม่ได้ใช้สารแปลกปลอมใดๆ ทำได้ง่าย ราคาถูกกว่าฟิลเลอร์ที่เป็นสารสังเคราะห์ด้วยซ้ำ ลองปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังดูนะคะ

บทความโดย
Pakpilai Thavisin, M.D.
S Medical Spa

เติมเต็มร่องแก้ม คืนความสาวสวยด้วย Plalet Rich Plasma (PRP)



 

                     

สาว สวย ใส รับวัยสาว
วันที่ 21/05/2010  17:08:03 PM ,ผู้เข้าชม : 4481
เคล็ดลับการดูแลตัวเองให้ผิวขาวสวย ผิวนุ่มเนียนใสเหมือนวัยสาว

สาว สวย ใส รับวัยสาวสาว สวย ใส รับวัยสาวสาว สวย ใส รับวัยสาว 

สาว สวย ใส รับวัยสาว

และแล้วก็ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งปี ก้าวเข้าสู่ปีพุทธศักราช 2553 กึ่งศตวรรษเข้าไปแล้วนะคะ หลายคนก็คงจะมีอายุยืนยาวจนได้เห็นเลขปี พ.ศ. 2600 เป็นแน่แท้ เพราะคนยุคใหม่ใส่ใจสุขภาพดูแลป้องกัน ก่อนการเกิดโรค จึงมีอายุยืนยาว แถมวิวัฒนาการทางการแพทย์ก็ทันสมัยเป็นโรคอะไรก็รักษาให้หายฉับไว ไม่เหมือนแต่ก่อนที่อายุยังไม่ทัน 50 ก็ติดเชื้อพาลตายกันไปก่อนวัยอันควร และในเมื่อจะต้องมีอายุยืนยาวกันแล้วนอกจากสุขภาพดีจากภายใน ความสวยใสจากภายนอกยิ่งเสริมเพิ่มความมั่นใจให้กับทุก ๆ คนไม่ว่าจะหญิงและชาย วันนี้หมอก็เลยจะมาทบทวนบทที่ 1 หรือขั้นตอนพื้นฐานในการดูแลผิวพรรณให้สวยสดใส แม้วัยจะล่วงเลยมาหลายปีแล้วก็ตาม

.........................................................................................................
โฆษณา-ลิงก์ผู้สนับสนุน

.........................................................................................................

เคล็ดลับสำคัญในการดูแลผิวหน้าไม่ใช่ครีมบำรุงผิวขวดละหลายหมื่น หรือการทำเลเซอร์เครื่องละหลายล้านหรอกนะคะ แต่เป็นการดูแลผิวอย่างถูกวิธีที่คุณสามารถทำได้เองง่าย ๆ ที่บ้าน ย้ำว่าหากใครอยากเก็บผิวนุ่มผิวเนียนสดใสเหมือนวัยสาวละก็ ขอให้หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นทำร้ายผิวหน้า 3 ประการ อันได้แก่ การรบกวนจากรังสีอุลตร้าไวโอเลตและความร้อน การรบกวนจากสารเคมี และการรบกวนจากแรงกระทำ

เริ่มต้นจากรังสีอุลตร้าไวโอเลตจากแสงแดด ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดปัญหาริ้วรอยเหี่ยวย่น ทั้งตื้นทั้งลึก จุดด่างดำ กระ ฝ้า ผิวหมองคล้ำ และแม้คุณผู้หญิงทุกคนจะทราบดีว่าควรจะใช้ครีมกันแดดให้เป็นประจำ แต่ก็ยังทำกันไม่ค่อยจะได้ ก็ขอย้ำนะคะว่าการปรากฎริ้วรอยเหี่ยวแก่นั้น กว่า 80% เป็นผลมาจากการที่ผิวถูกทำลายโดยรังสีอุลตร้าไวโอเลต ทั้งชนิด เอ และ ชนิดบี ซึ่งแม้คุณจะอยู่ในอาคารบ้านเรือน ก็หาได้ปลอดภัยไม่ เพราะรังสีเหล่านี้สามารถทะลุกระจก สะท้อนพื้นดินพื้นน้ำ และลมเพลมพัด มาสัมผัสผิวกายทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อชั้นหนังแท้ที่เรียกว่า คอลลาเจนและอิลาสติน เมื่อคอลลาเจนและอิลาสตินเสื่อมรอยเหี่ยวย่นก็จะปรากฎให้เห็น ในขณะเดียวกันรังสีในแสงแดดก็อาจจะไปกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระในชั้นต่างๆของผิวหนัง ทำลายเม็ดสีผิว เกิดปัญหาจุดกระด่างดำ และด่างขาว ทั้งผิวแห้งและหยาบกร้าน ซึ่งแม้จะแก้ไขได้ด้วยครีมบำรุง การฟื้นฟูสภาพผิวหน้าด้วยเลเซอร์รีจูวิเนชั่น หรือช่วยบรรเทารอยร่องลึก ๆ ด้วยการฉีด โบท๊อก แต่ยังไงก็สวยสู่ผิวใสตามธรรมชาติไม่ได้นะคะ ดังนั้นจึงขอแนะนำให้กันเอาไว้ดีกว่าแก้ ด้วยการทาครีมกันแดด SPF ไม่ต่ำกว่า 25 ให้ได้เป็นประจำทุกวันจริง ๆ แม้ในวันที่ไม่ออกจากบ้านไปไหน ก็อย่าชะล่าใจเดินเปลือยหน้าไปมา 4-5 ชั่วโมง กว่าจะอาบน้ำอาบท่า ทากันแดดแต่งหน้าออกจากบ้าน ผิวก็ถูกแสงแดดทำลายไปแล้ว แม้วันละเล็กละน้อยสุดท้ายก็ปรากฎริ้วรอยเหี่ยวย่นแก่ก่อนวัยให้ต้องช้ำใจกันเปล่า ๆ ทางที่ดีใช้ครีมกันแดดให้ได้ทุกวันกันจริง ๆ เลือกที่มีค่า SPF สูง และค่า PA 3+ จะได้กันได้ทั้งรังสีชนิด เอ และชนิด บี และถ้าหากวันไหนที่ต้องตากแดดกันจริง ๆ จัง ก็ควรจะต้องทาครีมกันแดดซ้ำกันบ้างนะคะ โดยไม่จำเป็นต้องล้างหน้า เพียงแค่ซับเหงื่อ ซับน้ำมันบนหน้า แล้วค่อย ๆ แตะค่อย ๆ เติมครีมกันแดด ไม่ต้องกลัวว่าจะอุดตันทำให้เกิดสิว เพราะสิวเป็นเรื่องของฮอร์โมน การอุดตันหรือคอมิโดน เกิดจากข้างในรูขุมขนออกมา ไม่ใช่เป็นเพราะแป้งหรือขี้ฝุ่นลงไปอุดอย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจผิดกัน คุณจึงสามารถใช้ครีมกันแดดได้อย่างสบายใจค่ะ

อันดับสองก็คือควรหลีกเลี่ยงสารเคมีต่างๆ กับผิวหน้าอันบอบบางของคุณ คุณผู้หญิงหลายคนยังเข้าใจผิดคิดว่าล้างหน้าไม่สะอาดเดี๋ยวแป้งเดี๋ยวขี้ฝุ่นจะลงไปอุดตันรูขุมขน และทำให้เกิดสิว ก็เลยบรรจงใช้ทั้งครีมเช็ดเครื่องสำอางค์ สบู่เหลว โฟมล้างหน้า และยังตามด้วยโทนเนอร์โลชั่น เช็ดถูกันจนหนังกำพร้าหลุดลอกกันไปหลายชั้น แต่ไม่ได้ป้องกันสิวได้อย่างจริง ๆ จัง ๆ หรอกนะคะ แม้ว่าคุณจะล้างหน้าสะอาดกันวันละ 5 รอบ 10 รอบ ก็อย่างที่บอกไว้ การเกิดสิวเป็นเรื่องของฮอร์โมนเพศที่ไปกระตุ้นทำให้เกิดการอุดตันของท่อต่อมไขมันจากข้างในเหมือนท่อน้ำเป็นสนิมไม่ใช่จากแป้งจากขี้ฝุ่น ดังนั้นช่วงใกล้มีประจำเดือน ช่วงเครียด อดนอน ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง ใครที่มีพันธุกรรมจะเป็นสิวได้ง่ายๆ ก็คงหลีกหนีไม่พ้นสิวหรอกนะคะ แต่หากสายพันธุ์ไหนเขาไม่เป็นต่อให้สกปรก คลุกขี้ฝุ่นมา 3 วัน 3 คืนไม่ล้างหน้า เขาก็ไม่เกิดสิวอยู่ดี ดูตัวอย่างง่าย ๆ ก็ดูเด็กขอทาน หรือเด็กที่วิ่งขายพวงมาลัยข้างถนนสิคะ เด็กอายุ 7-8 ขวบ เหล่านี้ ต่อให้สกปรกมอมแมมคลุกขี้ฝุ่นอยู่ข้างถนนก็ไม่ปรากฎสิวให้เห็น เพราะยังไม่มีฮอร์โมนเพศกระตุ้นนั่นเอง แต่ก็เป็นข้อพิสูจน์ให้เราเข้าใจได้ง่าย ๆ ว่าสิวไม่ได้เกิดจากความสกปรก ดังนั้นการล้างหน้าสะอาดแต่พอควรก็พอ ไม่ควรจะใช้สารเคมีวุ่นวายกับผิวหน้า โดยทั่วไปหมอมักจะแนะนำว่าตื่นนอนตอนเช้า หน้าไม่ได้สกปรกอะไร แค่น้ำเปล่าใส ๆ จากก๊อก รูปไล้หน้าตอนอาบน้ำก็พอแล้ว หากเป็นตอนเย็นที่ผิวหน้ามีเหงื่อ มีน้ำมัน มีขี้ฝุ่น หรือคุณผู้หญิงที่ทาครีมกันแดดผัดแป้งแต่งหน้า หากเครื่องสำอางค์ไม่ได้กันน้ำแล้วละก็ คุณสามารถใช้สบู่เหลว เจลใสไร้ฟองหรือโฟมที่มีครีมบำรุงนุ่ม ๆ รูปไล้เบาๆ แค่นี้ก็ล้างทั้งขี้ฝุ่นทั้งเครื่องสำอางค์ออกได้หมดจดเกลี้ยงเกลา วิธีล้างหน้าที่ดีนั้นไม่ควรใช้น้ำอุ่นน้ำร้อน และไม่ควรขัดถูหน้ารุนแรง ๆ ไม่จำเป็นต้องใช้สำลีเช็ดถูแต่อย่างใด แค่มือของเรารูปไล้ไปทั่ว ๆ หน้าก็สะอาดแล้วล่ะค่ะ หากจะให้ดีล้างหน้าถูกวิธีไม่ต้องรู้สึกเกลี้ยงสนิทหรอกนะคะ ให้รู้สึกลื่น ๆ เหมือนยังมีมอยส์เจอร์บำรุงผิวอยู่บนผิวหน้าบ้างก็จะดีไม่น้อย และหลังล้างหน้าก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้โทนเนอร์โลชั่นเช็ดผิวหรอกนะคะ ยกเว้นในคนที่ผิวมีความมันมากจริง ๆ ก็อาจจะใช้โทนเนอร์ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน โดยใช้วิธีแตะซับไปบนบริเวณทีโซนที่ต่อมไขมันทำงานมากเป็นพิเศษก็พอแล้ว หลังล้างหน้าก็อาจจะใช้ครีมบำรุงผิวตามสภาพผิว หากใครผิวแห้งมากก็น่าจะต้องใช้เดย์ครีม ไนท์ครีมหรือมอยส์เจอร์ไรเซอร์ เพราะผิวแห้งมากเท่าไรก็มีโอกาสที่จะรับสารเป็นพิษรอบตัวทำให้เกิดการละคายเคือง หรือกลายเป็นผิวแพ้ง่าย ที่สำคัญผิวแห้ง ๆ ก็จะเห็นริ้วรอยเหี่ยว ๆ ไม่น่าดูอีกต่างหาก แต่หากคนไหนผิวมันก็ไม่จำเป็นต้องใช้มอยเจอร์ไรเซอร์หรอกนะคะ แต่อาจจะใช้เป็นโลชั่นหรือพวกซีรั่มบำรุงผิวชนิดน้ำ จะได้ไม่เพิ่มความมันบนใบหน้าให้เหนียวเหนอะหนะ

ส่วนการรบกวนอันดับสามที่สำคัญที่สุดก็คือ การรบกวนจากแรงกระทำที่คุณผู้หญิงทำร้ายตัวเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ก็เพราะกลัวหน้าไม่สะอาดเนี่ยล่ะค่ะ ทำให้เวลาล้างหน้าชอบใช้สำลีเช็ด ๆ ถูไถ ใบหน้ารุนแรงเกินไป ทำให้เกิดปัญหาผิวหยาบผิวกร้าน รูขุมขนขยาย หมอมักจะแนะนำให้คนไข้ลองสำรวจตัวเราเองบริเวณไหนที่เราชอบถูมาก ๆ ตรงนั้นก็มักจะมีลักษณะผิวที่หยาบกร้านแถมดูหมองคล้ำอีกต่างหากนะคะ เช่น บริเวณข้อศอก

เทียบกับท้องแขน ตอนเกิดมาเป็นเด็กทารกนั้น ทั้งท้องแขนทั้งข้อศอกก็ดูเรียบเนียนเท่าเทียมกัน แต่พอเรานั่งเท้าแขนถูข้อศอกไป ๆ มา ๆ ข้อศอกทุกคนก็เลยย่นยับ ดำกร้าน กันไปหมดไม่เหมือนผิวบริเวณท้องแขน ที่ไม่ค่อยถูกเสียดสี ถูไถ ไม่ได้ถูกทำร้ายจากแรงกระทำผิวบริเวณนี้จึงดูเรียบเนียนใส แม้จะอยู่ในวัยเกษียนแล้วก็ตาม สำรวจผิวตัวเองแบบนี้แล้วคุณยังอยากจะเช็ดถูหน้าแรง ๆ อีกก็คงช่วยอะไรไม่ได้แล้วล่ะค่ะ หน้าใครหน้ามัน หากรักหน้าตัวเองเท่าไรยิ่งต้องรบกวนให้น้อย ๆ จะสัมผัสผิวหน้าแต่ละทีก็ต้องทะนุถนอมกันสุดชีวิต ไม่ใช่ทั้งขัดทั้งฟอกทั้งถู เอาเป็นว่า จะมีเม็ดอะไรบนใบหน้าก็ไม่ควรไปบีบแคะ แกะ เกา เช็ด ถู ขัด รบกวนรุนแรง ยิ่งบีบสิวมาก ยิ่งมีโอกาสกระตุ้นให้เขาอักเสบซ้ำซ้อนสุดท้ายก็กลายเป็นหลุมแผลเป็น หากเป็นสิวอักเสบกันจริงก็ไปปรึกษาหมอ กินยาทายาแม้จะหายช้ากว่าบีบแกะสิว แต่ก็หายแบบไม่ฝากรักหลุมแผลเป็นให้เห็นไปตลอดชีวิตเหมือนคนที่ใจร้อนชอบไปบีบไปเค้นเอาหนองออก แม้สิวจะยุบได้เร็วแต่ก็เป็นแผลเป็นกันไปตลอดชีวิต ซึ่งหลุมแผลเป็นเหล่านี้รักษาหรือการทำเฟเชียลทรีทเมนต์ก็คงไม่ช่วยหรอกนะคะ หนีไม่พ้นการทำเลเซอร์ชนิดขัดผิวที่ยุ่งยากซับซ้อนกว่าเลเซอร์อื่น ๆ

เห็นไหมคะ การจะเป็นเจ้าของผิวสวยผิวใสนั้นไม่ยากเลย แค่หลีกเลี่ยงการรบกวนจากรังสี จากสารเคมี และจากแรงกระทำ คุณก็จะสามารถรักษาผิวสาวผิวใสวัยเด็กได้ไปนาน ๆ

บทความโดย
Pakpilai Thavisin, M.D.
S Medical Spa

สาว สวย ใส รับวัยสาว
สาว สวย ใส รับวัยสาว
สาว สวย ใส รับวัยสาว
สาว สวย ใส รับวัยสาว
สาว สวย ใส รับวัยสาว


 

                     

ลดน้ำหนักด้วยอาหารเสริม
วันที่ 20/05/2010  16:40:47 PM ,ผู้เข้าชม : 4397
เทคนิคลดน้ำหนัก ลดความอ้วน สลายไขมัน ด้วยอาหารเสริม อาหารเพื่อสุขภาพ

ลดน้ำหนักด้วยอาหารเสริมลดน้ำหนักด้วยอาหารเสริมลดน้ำหนักด้วยอาหารเสริม 

ลดน้ำหนักด้วยอาหารเสริม

หมอเชื่อว่าคุณผู้อ่านหลายคนคงเคยมีประสบการณ์กับการใช้ยาลดน้ำหนัก เพราะแม้หมอส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเห็นด้วย เนื่องจากยาลดน้ำหนักมักเป็นสารเคมีที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท กดศูนย์ควบคุมความอยากอาหารในสมอง ทำให้ไม่ค่อยหิวไม่คอยอยาก แต่เพราะไปกดการทำงานของสมองจึงมักทำให้คนไข้มีอาการหงุดหงิดจิตไม่ค่อยจะเป็นสุข บางคนถึงขนาดประสาทหลอนกันไปเลยก็มี คอแห้ง ปากแห้ง หิวน้ำทั้งวัน แต่ที่สำคัญก็คือใช้ไปได้สักระยะก็จะเกิดภาวะดื้อยาต้องเพิ่มปริมาณยามากขึ้น จากวันละเม็ด เป็นวันละสองสามและสี่เม็ดในที่สุด ยาไม่มีผลช่วยในการควบคุมความอยากอาหารอีกต่อไป ดังนั้นการใช้ยาลดความอ้วนจึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์จริง ๆ ไม่ใช่ฝากเพื่อนซื้อแอบขโมยเพื่อนกิน หรือไปลักลอบซื้อตามร้านขายยา ยาลดความอ้วนนั้นเก็บไว้สำหรับคนที่อ้วนมาก อ้วนชนิดที่เรียกว่าหากไม่ลดความอ้วนละก็ จะต้องตายจากความอ้วนนั้นแน่ ๆ เพราะคนไข้กลุ่มนี้ขาดแรงใจที่จะลดน้ำหนักด้วยตัวเองจึงจำเป็นต้องใช้ยาช่วย แต่คนส่วนใหญ่นั้นต้องการขจัดไขมัน ส่วนเกินเพียงแค่ 5-10 กิโลกรัม ใช้วิธีธรรมชาติกันดีกว่า บางครั้งหมออาจจะยอมให้ใช้ผู้ช่วยง่าย ๆ จำพวกอาหารเสริมบางชนิด ซึ่งได้ผลมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป ลองมาดูกันซิคะว่าเราใช้อะไรได้บ้าง

.........................................................................................................
โฆษณา-ลิงก์ผู้สนับสนุน

.........................................................................................................

1. อาหารเสริมดั้งเดิมที่ใช้เป็นผู้ช่วยในการลดน้ำหนัก ได้แก่ เส้นใยอาหาร หรือไฟเบอร์ ซึ่งมีชนิดที่ละลายในน้ำ พองเป็นเจลลี่เต็มท้อง กับชนิดที่ไม่ละลายในน้ำ แต่ช่วยเพิ่มกากให้ระบบขับถ่ายทำงานดี เดิมทีนั้นเส้นใยอาหารหรือไฟเบอร์ ถูกนำมาใช้รักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาท้องผูก ช่วยเพิ่มกากในลำไส้ใหญ่ ทำให้มีจำนวนอุจจาระมากพอที่จะไปกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ให้ระบบขับถ่ายทำงานตรงตามเวลา แต่แล้วก็พบว่าเส้นใยอาหารนั้นหากรับประทานก่อนมื้ออาหารสัก 15 นาที หรือครึ่งชั่วโมง ก็จะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มเร็วเป็นการลดปริมาณพื้นที่ในกระเพาะอาหารลง รับประทานได้น้อยลง แทนที่จะข้าวชาม ก๋วยเตี๋ยวน้ำอีกหนึ่ง ก็อาจจะลดลงมาเหลือเพียงแค่อาหารจานเดียวก็อิ่มอยู่ท้องได้พอประมาณ ที่สำคัญงานวิจัยยังพิสูจน์ได้ว่า เส้นใยอาหารหลายชนิด ทั้งจากมันบุก จากข้าวโอ๊ตสามารถช่วยลดการดูดซึม ไขมันคอเลสเตอรอลและน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดได้อีกด้วย การใช้ไฟเบอร์นั้นค่อนข้างจะปลอดภัย เพราะไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด แม้กระทั่งคนท้องหมอก็ยังสามารถให้ใช้เส้นใยอาหารช่วยลดปัญหาท้องผูกได้โดยไม่ต้องหวั่นเกรงว่าจะเป็นอันตรายถึงทารกน้อย ราคาของเส้นใยอาหารส่วนใหญ่มักจะอยู่ที่เม็ดหนึ่งตั้งแต่ 3-5 บาท รับประทานได้วันหนึ่ง 10-20 เม็ด แบ่งเป็นก่อนอาหารมื้อละ 4-6 เม็ด หรือแม้ในยามที่ท้องว่าง หรือบางครั้งจะใช้เส้นใยอาหารประเภทชงดื่ม อย่างพวกกากจากเม็ดแมงลัก ก็ใช้ได้เหมือนกันนะคะ ราคาไม่แพงค่าใช้จ่ายตกอยู่ที่วันหนึ่งไม่กี่สิบบาทเท่านั้น

2. ไคโตซาน ซึ่งเป็นเส้นใยหรือเยื่ออาหารอีกชนิดหนึ่ง แต่ไม่ได้มาจากพืชเหมือนไฟเบอร์ แต่มาจากเปลือกกุ้ง กระดองปู ไคโตซานนั้นสามารถช่วยดักจับไขมันเอาไว้ด้วยโครงสร้างที่มีลักษณะเหมือนฟองน้ำ มีรูพรุนให้ไขมันมาเกาะติด จึงสามารถลดปริมาณไขมันที่จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย โดยไคโตซานจะดูดซับจับไขมันได้ตั้งแต่ 2 ถึง 10 เท่าของน้ำหนักตัว ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่มากมาย เพราะหากคุณรับประทานไคโตซานมื้อละ 1 กรัม ก็จะจับไขมันได้ประมาณ 5-10 กรัม ลดพลังงานอาหารได้ 45-90 แคลอรี่ ใช้ได้ปลอดภัย เพราะไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายเช่นเดียวกับไฟเบอร์ แต่ราคาสูงกว่า แต่ก็ยังอยู่ในระดับหลัก 10 ไม่ถึง 100 บาท ต่อวัน

3. สารสกัดจากถั่วขาว อันนี้ใช้ดักจับพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตนั่นเอง ซึ่งก็จับได้ไม่มากเท่าไร แต่อย่างน้อยก็ช่วยลดปริมาณของการสะสมแป้งเข้าสู่ร่างกาย ในปัจจุบันมีอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของไฟเบอร์หลากหลายชนิด ไคโตซาน และ สารสกัดจากถั่วขาว จึงช่วยดักจับทั้งแป้งน้ำตาลและไขมัน แต่งานวิจัยส่วนใหญ่พบว่า แม้จะให้คนไข้รับประทานอาหารเสริมพวกนี้เป็นประจำทุกวัน แต่หากไม่ได้ควบคุมอาหารและไม่ได้ออกกำลังกาย ก็มักจะไม่เห็นผลในการลดน้ำหนักตัว แต่ถ้าควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และได้ใช้อาหารเสริมพวกดักจับไขมันและแป้งด้วย ก็จะพบว่าน้ำหนักลดลงได้เร็วกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับอาหารเสริมชนิดนี้

4. ยังมียาที่ช่วยลดการดูดซึมไขมันเข้าสู่ร่างกาย โดยการออกฤทธิ์ของยากลุ่มนี้ ไม่เหมือนเส้นใยอาหารที่ไปดักจับไขมัน แต่ตัวยาจะไปป้องกันการดูดซึมไขมันผ่านผนังลำไส้ จึงทำให้มีน้ำมันปนเปื้อนมากับของเสียอื่น ๆ และเมื่อขับถ่ายออกมาคุณก็จะสามารถมองเห็นน้ำมันลอยฟูฟ่องอยู่ในโถส้วมด้วย ซึ่งบางคนก็ชอบ เพราะเห็นน้ำมันส่วนเกินออกมาจริง ๆ จัง ๆ จับต้องได้ แต่หลายคนก็ไม่ชอบเพราะค่อนข้างจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อน แถมมีกลิ่นไม่พึงประสงค์อีกต่างหาก บางคนลำบากถึงขนาดต้องกลั้นการผายลม มิฉะนั้นอาจเปื้อนชั้นในได้ หรือไม่ก็ต้องใส่ผ้าอนามัยผู้ใหญ่ ป้องกันการหลุดรั่วของไขมัน นับเป็นความไม่ค่อยสะดวกสบายเท่าไร แต่ได้ผลดีถ้าหากอาหารมื้อนั้นคุณหนีไม่พ้นอาหารมัน ๆ อย่างไปรับเลี้ยงโต๊ะจีน หรือไปรับประทานบุฟเฟ่ต์ ราคายาค่อนข้างสูงสักนิดหนึ่ง แต่ก็ใช้ได้ปลอดภัยพอสมควร

5. อาหารเสริม ซีแอลเอ ซึ่งย่อมาจาก conjugated linoleic acib ซึ่งเป็นกรดไขมันอีกชนิดหนึ่ง ที่ไปขัดขวางขบวนการสะสมไขมันในร่างกายและเร่งการใช้พลังงาน มีงานวิจัยสนับสนุนอยู่บ้างแต่เช่นกันหากใช้ ซีแอลเอ โดยไม่ทำอะไรเลยไม่ออกกำลังกายเลย ก็จะไม่เห็นผลในการลดน้ำหนัก แต่จะได้ผลดีในคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ และใช้ซีแอลเอช่วยด้วยก็จะสลายไขมันได้เร็วยิ่งขึ้น

6. อาหารเสริมสารสกัดจากส้มแขก ซึ่งเคยฮอทฮิตเมื่อ 10 ปีก่อน ปัจจุบันก็ยังพอหาได้ประปราย มีคุณสมบัติลดการเปลี่ยนแป้งไปเป็นไขมันสะสม เรียกว่ารับประทานอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลเข้าไปก็จะพยายามเร่งใช้ออกไปให้หมดไม่เหลือสะสมไว้เป็นไขมัน ได้ผลพอสมควรในคนที่ชอบรับประทานอาหารจำพวกแป้ง แต่เช่นกันอาหารเสริมเหล่านี้จะได้ผลดีเมื่อคุณควบคุมอาหารและออกกำลังกายไปด้วยกันเสมอ

7. สารสกัดจากพริก แคพไซซีน ว่ากันว่า ความเผ็ดร้อนของ แคพไซซีนจากพริกนั้นไปกระตุ้นเมตาโบลิซึม หรือเร่งการเผาพลาญพลังงานให้กับร่างกาย โดยเฉพาะหากใช้ควบคู่ไปกับชาเขียวที่มีคุณสมบัติแอนตี้ออกซิเดนท์ แต่หมอว่าสารสกัดจากพริกและชาเขียวนั้น หากใช้ในรูปของครีมทาถู ทาถู เพื่อช่วยสะลายเซลลูไลท์ ให้ผิวหนังดูเรียบเนียนขึ้น น่าจะได้ผลดีกว่าชนิดรับประทาน เพราะแม้งานวิจัยจะอ้างอิงว่า คนที่ชอบรับประทานเครื่องเทศเผ็ดร้อน มักจะมีน้ำหนักตัวคงที่ หรือไม่ค่อยจะเป็นคนอ้วน เพราะแคพไซซีน ช่วยกระตุ้นการใช้พลังงาน แถมเวลากินอาหารเผ็ดร้อน คุณต้องใช้พลังงานมากขึ้น ก็เสียเหงื่อออกปานนั้น ก็น่าจะมีผลอยู่บ้าง แต่พอมาเป็นรูปของอาหารเสริมสกัดใส่แคปซูลปริมาณของแคพไซซีนมักจะไม่สูงเท่ากินส้มตำใส่พริกเผ็ด ๆ หรอกนะคะ

8. คาเฟอีน ทั้งที่อยู่ในรูปของกาแฟ ชาจีนหรือสารสกัดออกมาเป็นอาหารเสริมชนิดเม็ด พบว่าคาเฟอีนไปกระตุ้นการทำงานของร่างกาย กระตุ้นเมตาโบลิซึม จนบางคนมีอาการใจสั่นเพราะไปกระตุ้นหัวใจให้เต้นแรงขึ้น ชีพจรพุ่งสูงขึ้น การเผาผลาญพลังงานในร่างกายก็น่าจะมีประสิทธิภาพดีขึ้น แต่การใช้สารคาเฟอีนนาน ๆ นั้น มีข้อควรระวังด้วยนะคะ เพราะบางคน อาจมีภาวะใจสั่น หรือนอนไม่หลับต่อเนื่องกันไปนาน ๆ จนเป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาวได้ สารคาเฟอีนยังมีผลช่วยให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงแรก เพราะคาเฟอีนปริมาณมาก ๆ นั้น เป็นยาขับปัสสาวะ เมื่อร่างกายขับถ่ายน้ำออกไปวัน 1-2 วันแรกน้ำหนักอาจจะลดลงได้แล้ว 1-2 กิโลกรัม

9. สารสกัดจากกระบองเพชร Hoodia ซึ่งถือว่าเป็นสมุนไพรพื้นบ้านของชาวอัฟริกัน ที่บางครั้งเมื่อต้องเดินอยู่ในทะเลทรายเขาจะใช้วิธีเคี้ยวต้นกระบองเพชรบางชนิดเพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำเข้าไป และก็พบว่ามีสารสำคัญที่ช่วยระงับความหิวอาหาร ทำให้สามารถเดินฝ่าดงทะเลทรายหลุดรอดมาได้ อาหารเสริมชนิดนี้บ้านเราไม่มี ในต่างประเทศกำลังได้รับความสนใจกันพอประมาณ เพราะมีงานวิจัยสนับสนุน แต่เช่นกันถ้าจะให้ดีใช้ควบคู่ไปกับการเลือกกินอาหารและออกกำลังกายนะคะ

10. ชาสมุนไพร ใบมะขามแขก นับว่าเป็นอาหารเสริมลดความอ้วนดึกดำบรรพ์ชนิดหนึ่ง เพราะเป็นยาระบายอย่างอ่อน บางคนถ่ายเสียจนเสียแร่ธาตุออกไปจากร่างกายมากจนเป็นลมเป็นแล้ง ชาใบมะขามแขกนั้นมีคุณสมบัติลดน้ำหนักชั่วครั้งชั่วคราว เพราะเป็นเรื่องของยาระบายเร่งระบบขับถ่าย หากใช้ต่อเนื่องกันนานๆ นอกจากจะมีผลให้ร่างกายสูญเสียแร่ธาตุแล้ว ยังมีผลให้ลำไส้ใหญ่ไม่สามารถทำงานได้ด้วยตัวเอง สุดท้ายหยุดเมื่อไรกลายเป็นท้องผูกมากกว่าเดิม จึงไม่ควรใช้ต่อเนื่องเป็นประจำ เอาไว้ใช้รักษาปัญหาท้องผูกเป็นครั้งเป็นคราวดีกว่าดื่มทุกวันเพื่อขจัดไขมันส่วนเกินนะคะ

สรุปแล้วอาหารเสริมตามธรรมชาติแต่ละชนิด สามารถใช้ได้ตามสมควร แต่ถ้าจะให้ดีเลือกที่ไม่มีผลต่อร่างกายในระยะยาว หรืออย่างน้อยก็ปรึกษาแพทย์ประจำตัวเสียก่อนนะคะว่า คุณมีโรคประจำอะไรที่จะต้องระมัดระวังการใช้อาหารเสริมเหล่านี้หรือไม่ แม้จะเป็นแค่อาหารเสริม แต่ก็อย่าวางใจใช้ด้วยความระมัดระวังจะดีกว่าค่ะ

บทความโดย
Pakpilai Thavisin, M.D.
S Medical Spa

ลดน้ำหนักด้วยอาหารเสริม
ลดน้ำหนักด้วยอาหารเสริม
ลดน้ำหนักด้วยอาหารเสริม
ลดน้ำหนักด้วยอาหารเสริม
ลดน้ำหนักด้วยอาหารเสริม
ลดน้ำหนักด้วยอาหารเสริม


 

                     

เทคนิคหน้าเด้ง เพื่อความสวยของคุณผู้หญิง
วันที่ 20/05/2010  16:20:44 PM ,ผู้เข้าชม : 4123
เทคนิคหน้าเด้ง เคล็ดลับหน้าขาวผ่องใส หน้าเนียนใส เพื่อความสวย คืนวัยสาว ของคุณผู้หญิง

เทคนิคหน้าเด้ง เพื่อความสวยของคุณผู้หญิงเทคนิคหน้าเด้ง เพื่อความสวยของคุณผู้หญิงเทคนิคหน้าเด้ง เพื่อความสวยของคุณผู้หญิง 

เทคนิคหน้าเด้ง
เพื่อความสวยของคุณผู้หญิง

เรื่องของผิวขาว ผิวใส ดูจะไม่ใช่ปัญหาหนักนี้ของสาว ๆ ยุคนี้ อีกต่อไป เพราะมีเครื่องสำอางค์ เวชสำอางค์เทคโนโลยีมากมายที่จะช่วยคืนความสดใสให้กับผิว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอางค์บำรุงผิวที่ผสมเรตินอล วิตามินซี วิตามินบี3 กรดโคจิก สารสกัดจากพืชธรรมชาติหลากหลายที่มีคุณสมบัติเป็นแอนตี้ออกซิเดนท์ก็สามารถช่วยให้ผิวดูนวลเนียนขาวใสได้ หรือใช้การผลักยาเข้าสู่ผิวด้วยไอออนโต โฟโน เมโส ไปจนกระทั่งถึงเลเซอร์ IPL หน้าใสกันได้ในพริบตา แต่ปัญหาหนักอกหนักใจของสาวใหญ่วัยเลยกลางคนคือ 40 กว่าปี นั่นก็คือเรื่องของผิวหย่อนผิวยานไปตามแรงดึงดูดของโลก ซึ่งดูเหมือนเครื่องสำอางค์จะกระชากวัยไม่ค่อยจะไหว วันนี้หมอจะลองไล่เรียงให้ฟังว่าเทคนิคหน้าเด้งนั้นทำได้มากน้อยแค่ไหน? อย่างไร?

.........................................................................................................
โฆษณา-ลิงก์ผู้สนับสนุน

.........................................................................................................

ในปัจจุบันมีเครื่องสำอางค์หลายยี่ห้อที่โฆษณาป่าวประกาศว่า สามารถทำให้หน้าเด้งเป็นเฟส ลิฟท์ (Face Lift ) หรือยกกระชับผิวหน้า โดยที่ไม่ต้องผ่านการผ่าตัดดึงหน้า ก็อย่าไปหวังอะไรมากมายกับเครื่องสำอางค์เลยนะคะ เพราะอยากให้คุณผู้อ่านเข้าใจก่อนว่า ขบวนการหน้าหย่อนหน้ายานนั้น มันเกิดตามธรรมชาติในคนทุกคนเมื่อถึงวัยหนึ่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็สามารถชะลอไว้ได้เหมือนกัน หากเราเข้าใจว่าขบวนการเกิดริ้วรอยนั้น มันมาจากการสูญเสียเนื้อเยื่อในชั้นหนังแท้ที่ช่วยให้ผิวแข็งแรง อันได้แก่ คอลลาเจน และเนื้อเยื่ออีลาสตินที่ให้ความยืดหยุ่น โดยทั่วไปพอเกินวัย 30 ปี เนื้อเยื่อทั้งสองชนิดก็มักจะลดหาย ร่างกายสร้างขึ้นมาทดแทนได้ไม่เท่ากับจำนวนที่สลายตัวไปตามธรรมชาติ เมื่อไรก็ตามที่ผิวขาดคอลลาเจน และขาดอีลาสตินแรงโน้มถ่วงก็จะค่อย ๆ ดึงให้ผิวหย่อนยาน แก้มห้อยย้อย จากคางที่เคยมนเรียวก็กลายเป็นหยักคล้ายดอกจิก หรือถุงใต้ตาก็พานจะหย่อนพานจะยานตามกันไปด้วย ยิ่งถ้าคนไหนตากแดดเป็นประจำ รังสีอุลตร้าไวโอเลตโดยเฉพาะรังสียูวีเอ ก็จะสามารถทำลายคอลลาเจนอีลาสตินได้เร็วขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ชนชาติฝรั่งที่นิยมการอาบแดดเป็นชีวิตจิตใจ จะดูเหี่ยวย่นและหย่อนยานแก่กว่าคนเอเชียที่มักจะหลบลี้หนีแสงแดด ความหย่อนยานไม่ได้เกิดเฉพาะบนใบหน้าเท่านั้นนะคะ ผิวหนังส่วนที่ถูกแดดโลมเลียก็จะถูกแดดทำลายไปด้วยไม่ว่าจะเป็นมือ ท้องแขน หรือแม้แต่หน้าอก หน้าใจ ไม่ใช่เพราะไซส์ใหญ่เป็นลูกมะพร้าวถึงได้หย่อน ยานเร็วกว่าปกติ อันนั้นก็มีส่วน เพราะหนักมากแรงโน้มถ่วงก็ดึงได้มาก แต่ยิ่งไปอาบแดดเนื้อเยื่อคอลลาเจน และอีลาสตินหายไป แล้วจะเหลืออะไรไว้ดึงให้หน้าอกตั้งเต่งตึง ตูมตามกันได้อีก

กลับมาที่ผิวหน้ากันดีกว่าค่ะ ความจริงการทาครีมกันแดด SPF 30 เป็นประจำทุกวัน ตั้งแต่เช้ายันเย็น หลบหลีกแสงแดด มีส่วนสำคัญที่ช่วยป้องกันการเสื่อมสลายของเนื้อเยื่อคอลลาเจน และอีลาสติน ถ้าจะให้ดีก็ต้องหลีกเลี่ยงสารพิษทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และตัวร้ายกาจก็คือควันจากบุหรี่ที่เร่งให้ผิวหย่อนยานได้เร็วขึ้น

ส่วนเจ้าเครื่องสำอางค์ที่โฆษณาว่าช่วยยกกระชับผิวหน้าให้เต่งตึงนั้น ส่วนใหญ่แล้วมักจะหนีไม่พ้นสารสำคัญจำพวกเรตินอล หรืออนุพันธ์ของวิตามินเอ วิตามินซี และที่เป็นน้องใหม่มาแรง เรียกว่าเป็นตัวเฟิร์มอัพหรือกระชับผิวอย่างแท้จริงนั้นมีตัวย่อว่า THPE ซึ่งย่อมาจาก Tetra hydroxypropyl ethylenediamine ซึ่งพบว่าเมื่อทาลงไปบนผิว จะมีผลทำให้เซลล์หดตัวคล้ายกับการที่คุณพ่นน้ำเย็นลงไปบนผิวหน้า เมื่อเซลล์หดกระชับก็จะดูเหมือนยกให้ผิวเต่งตึงขึ้นมาทันตาเห็น แต่ก็เป็นผลเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว หากเครื่องสำอางค์ที่มีสาร THPE ใช้ร่วมกับส่วนประกอบอื่น ๆ ที่ช่วยให้ผิวเก็บความชุ่มชื่นเอาไว้ได้ผิวก็จะดูเต่งตึง ริ้วรอยดูเรียบเนียนขึ้น ผิวดูยกกระชับขึ้น แต่ไม่ได้ถาวร เลิกใช้เมื่อไรผิวก็หย่อนเมื่อนั้น แต่ก็ยังดีกว่าไม่ใช้อะไรเลยนะคะ นอกจากนี้สารที่ช่วยยกกระชับผิวอีกตัวนั้น เป็นสารจำพวกสังกะสี เรียกว่า Zinc oligopeptides ซึ่งสามารถซึมเข้าไปในส่วนลึกของผิวหนังและช่วยกระตุ้นการเสริมสร้างการซ่อมแซมเนื้อเยื่อคอลลาเจนที่หายไป หากใช้ต่อเนื่องกันนาน ๆ จะสามารถเพิ่มความหนา หรือเพิ่มปริมาณเนื้อเยื่อคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ได้จริง ๆ ก็จะสามารถช่วยให้ผิวดูยกกระชับขึ้นได้ในระยะยาว

ที่สำคัญก็คือ คุณต้องพยายามเก็บรักษาเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอีลาสตินเอาไว้ ดังนั้นการทำเลเซอร์ที่เรียกว่า เลเซอร์รีจูวิเนชั่น (Laser Rejuvenation) โดยใช้คลื่นความถี่ของแสงที่พอเหมาะจะสามารถกระตุ้นให้เซลล์ในผิวหนังในชั้นหนังแท้ สามารถซ่อมแซม และเสริมสร้างทั้งคอลลาเจนและอีลาสตินที่หายไปตามธรรมชาติให้กลับฟื้นคืนขึ้นมาได้ เลเซอร์รีจูวิเนชั่นนั้นสามารถทำได้อย่างง่ายดายไม่เจ็บปวด เสียเวลาแอบพักกลางวันมาหาหมอแค่ไม่เกินครึ่งชั่วโมง ก็สามารถทำเลเซอร์เสร็จ ผัดแป้งแต่งหน้ากลับไปทำมาหากินต่อได้โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าแอบหนีไปทำอะไรมา ข้อดีของเลเซอร์รีจูวิเนชั่นก็คือทำง่ายสะดวกรวดเร็ว ไม่เกิดแผล แต่ข้อเสียก็คือ จะเห็นผลไม่ชัดในการทำไม่กี่ครั้ง จำเป็นต้องทำต่อเนื่องห่างกัน 2-4 สัปดาห์ อย่างน้อย ๆ 3-5 ครั้ง คุณถึงจะรู้สึกว่าผิวเรียบเนียนริ้วรอยเหี่ยวย่นดูจางลง และผิวดูยกกระชับขึ้น สำหรับการใช้เลเซอร์นั้นขอให้หวังผลระยะยาวมองโลกในแง่ดีว่า ช้า ช้า ได้พร้าเล่มงาม ผิวจะดีขึ้นอย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป คุณก็จะดูสวยใสในแบบฉบับของคุณอย่างเป็นธรรมชาติ จนไม่มีใครดูออกว่าไปทำอะไรมา นึกว่าคุณสวยเอง ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แอบใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วย

นอกจากการทำเลเซอร์รีจูวิเนชั่นแล้ว การยกกระชับให้หน้าเด้งทันตาเห็น ยังสามารถใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เรียกว่าคลื่นวิทยุหรือ Radio Frequency ซึ่งคลื่นวิทยุ หรือเรียกย่อๆ ว่า RF นี้ก็ยังมีหลายรูปแบบ บางชนิดเป็นประเภทขั้วเดี่ยวเข้าไปแล้วหายไปเลยในผิวหนัง ในร่างกายเรา ประเภทนี้จะลงได้ลึกจริง ลึกจัด จึงค่อนข้างจะเจ็บตัว และราคาค่าใช้จ่ายค่อนข้างแพง อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ต่ำกว่าหกหมื่นบาท สมัยแรก ๆ ราคาเรือนแสนเลยด้วยซ้ำ ข้อดีก็คือ หากใครตอบสนองต่อเจ้าคลื่นวิทยุชนิดนี้ได้ดีล่ะก็ จะเห็นผลหน้าเด้งกระชับขึ้นมาเหมือนเพิ่งไปผ่าตัดดึงหน้าโดยไม่มีรอยเย็บรอยแผลผ่าตัดแต่อย่างใด ข้อเสียนอกจากราคาแพง และเจ็บตัวมหาศาลแล้ว ยังมีคนจำนวนหนึ่ง ถึงหนึ่งในสามที่ไม่ตอบสนองต่อคลื่นวิทยุประเภทนี้ คุณจึงเสียเงินไปฟรี ๆ โดยไม่เกิดผลอะไรเลยต่อผิวพรรณ

ส่วนคลื่นวิทยุ RF ระบบสองขั้วคือเข้าแล้วออกจากร่างกายเรานั้นมักจะลงไปในส่วนผิวหนังที่ตื้นกว่าจึงยกกระชับได้บ้าง แต่ไม่มากเหมือนการผ่าตัดดึงหน้า ข้อดีก็คือไม่เจ็บตัวมากค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 2,000-3,000 บาทต่อครั้ง และเห็นผลยกกระชับหน้าได้ทันทีทุกรายไป แต่ยกมากยกน้อยไม่เท่ากันหรอกนะคะ ขึ้นอยู่กับต้นทุนว่าในชั้นผิวหนังเรานั้น ยังหลงเหลือคอลลาเจนอีลาสตินให้ยกกระชับมากน้อยขนาดไหน หากแก่จัด แก่จริงมีแต่เซลล็ไขมันเข้ามาแทรก ชั้นผิวหนังแท้บางลงไปมาก ๆ แล้ว ยกอย่างไรก็ไม่ค่อยจะขึ้นอยู่ดี ข้อเสียก็คือ เมื่อออกฤทธิ์เพียงตื้น ๆ ผลที่เห็นว่าหน้าเด้งกระชับขึ้นมานั้น จะอยู่ไม่นานจึงจำเป็นต้องทำบ่อย ๆ ระยะแรกอาจจะต้องทำทุกอาทิตย์ แล้วค่อย ๆ ห่างออกไปเป็นทุก 2 สัปดาห์ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องทุกๆ 2-4 สัปดาห์ หากทิ้งหายไปนาน ๆ ผิวพรรณก็มีสิทธิกลับมาหย่อนยานได้ เทคนิคนี้จึงเหมาะสำหรับ เมื่อคุณจำเป็นต้องใช้หน้าออกงานสวย ไปงานเลี้ยงรุ่นแล้วอยากให้ใคร ทักว่าส่งน้องสาวมาแทนหรือ? ก็เห็นทีจะต้องใช้คลื่นวิทยุแบบอินแสตนท์เฟสลิฟท์ (Instant facelift) หรือยกกระชับหน้าทันอกทันใจนี้ได้ ไม่มีข้อเสียในระยะยาว แต่เครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์เหล่านี้ มักมีเรื่องของ ระบบไฟฟ้า ดังนั้นคนไข้ที่มีปัญหาคลื่นไฟฟ้าในหัวใจเต้นผิดปกติ มีระบบไฟฟ้าลัดวงจรในหัวใจ หรือคนที่ติดเครื่องกระตุ้นหัวใจล่ะก็ เห็นทีจะไม่เหมาะที่จะใช้เทคนิคใดเทคนิคหนึ่งเหล่านี้ อาจจะต้องกลับไปใช้เทคนิคภูมิปัญญาชาวบ้านรุ่นคุณแม่ คุณย่า คุณยาย นั่นก็คือ การสครับขัดผิวเอาหนังกำพร้าชั้นบน ๆ ออก ให้หน้าดูเนียนใส แล้วใช้สมุนไพรบางอย่างพอกผิวหน้าช่วยยกกระชับให้หน้าเด้งดึ๋ง และดูเนียนใสขึ้นมาได้โดยไม่มีปัญหาเรื่องของระบบไฟฟ้าแต่อย่างใด

เห็นไหมค่ะว่า การแพทย์แผนปัจจุบันมีเทคโนโลยีหลากหลายมากมายที่จะช่วยให้คุณสวยใสมีปัญหาผิวหมองคล้ำ ตกกระ ด่างดำ ก็รักษาได้ไม่ยาก มีปัญหาผิวเหี่ยวย่น ริ้วรอยทั้งลึกทั้งตื้น ไปจนถึงผิวหย่อนยานก็สามารถแก้ไขได้ ในเวลาไม่กี่สิบนาที เพราะเหตุนี้สาวไทยจึงสวยล้ำ นำสมัยจนใคร ๆ ทายอายุไม่ออกกันเลยล่ะค่ะ

บทความโดย
Pakpilai Thavisin, M.D.
S Medical Spa

เทคนิคหน้าเด้ง เพื่อความสวยของคุณผู้หญิง
เทคนิคหน้าเด้ง เพื่อความสวยของคุณผู้หญิง
เทคนิคหน้าเด้ง เพื่อความสวยของคุณผู้หญิง
เทคนิคหน้าเด้ง เพื่อความสวยของคุณผู้หญิง
เทคนิคหน้าเด้ง เพื่อความสวยของคุณผู้หญิง


 

                     

ปรอทในฟัน มหันตภัยใกล้ตัวคุณ
วันที่ 20/05/2010  16:00:40 PM ,ผู้เข้าชม : 6013
คุณรู้หรือไม่? ปรอทในฟัน มหันตภัยใกล้ตัวคุณ

ปรอทในฟัน มหันตภัยใกล้ตัวคุณปรอทในฟัน มหันตภัยใกล้ตัวคุณปรอทในฟัน มหันตภัยใกล้ตัวคุณ 

ปรอทในฟัน มหันตภัยใกล้ตัวคุณ

คุณผู้อ่านอาจคิดว่ามลภาวะเป็นพิษนั้น เป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อมนอกบ้าน ควันท่อไอเสียรถยนต์ ควันบุหรี่ แต่จากงานวิจัยสรุปเอาไว้ว่ากว่า 90% ของสารเคมีเป็นพิษที่ร่างกายเราได้รับนั้น เราได้จากภายในบ้านเรานี่เองค่ะ จากอาหารที่เรารับประทาน น้ำ หรือแอลกอฮอร์ที่เราดื่ม พลาสติก โฟมบรรจุอาหาร ที่ปลดปล่อยสารปนเปื้อน กาวที่ติดวอลเปเปอร์ ไม้อาบน้ำยา เฟอร์นิเจอร์ พรม ผงฝุ่นละอองที่ติดอยู่ และแม้กระทั่งเสื้อผ้าที่ทำจากใยสังเคราะห์ล้วนแล้วแต่มีสารเคมีแอบแฝง ซึมซาบเข้าสู่เราได้ทุกอนูขุมขนและลมหายใจ แต่โลหะหนักเป็นพิษที่เป็นอันตรายสูงสุดต่อชีวิตนั้นมาจากอมัลกัม(Amalgam) หรืออุดฟันสีเงิน ๆ ในปากเรานั่นเองค่ะ

.........................................................................................................
โฆษณา-ลิงก์ผู้สนับสนุน

.........................................................................................................

แม้ว่าทันตแพทย์จะเลือกใช้อมัลกัม อุดฟันสีเงินๆ มานานกว่า 30 ปี จนคนวัย 40 กว่าแทบจะมีกันทุกคน แต่เพิ่งจะเมื่อไม่นานมานี้ที่มีประเด็นหยิบยกมาถกเถียงว่า สารอุดฟันนี้ปลอดภัยต่อร่างกายเราจริงหรือเปล่า โดยพบว่า 35- 70% ของเนื้อสีเงิน ๆ ที่อุดฟันนั้น คือสารปรอท และแทบจะไม่มีแร่ธาตุเงินเป็นส่วนผสมเลยด้วยซ้ำ นานวันเข้าปรอทเหล่านี้สามารถหลุดลอยไปตามกระแสเลือด หรือเรากลืนกินเข้าไปกับอาหาร ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้มากมาย ทั้งนี้จากงานวิจัยพบว่าที่อุณหภูมิ 37 องศา หรืออุณหภูมิร่างกายปกตินั้น ปรอทจากที่อุดฟันจะสามารถระเหยออกมาได้มากถึง 43.3 ไมโครกรัม ต่อพื้นที่ผิวสีเงิน ๆ 1 ตารางเซนติเมตร ภายในเวลา 1 วัน แต่ถ้าหากเอาอมัลกัมนี้ไปเก็บไว้ในน้ำเย็น ที่อุณหภูมิ 23 องศาเซลเซียส จะปลดปล่อยปรอทออกมาแค่ 4.5 - 21 ไมโครกรัมต่อพื้นที่ผิว 1 ตารางเซนติเมตร น้อยลงไปตั้งแต่ครึ่งถึง 10 เท่าเลยทีเดียว

นอกจากนี้งานวิจัยยังระบุอีกว่า ใครก็ตามที่ชอบดื่มกินอาหารที่มีสภาวะเป็นกรดก็จะทำให้เกิดการกัดกร่อนให้สารปรอทในอมัลกัมนี้หลุดออกมาได้มากขึ้น พวกฝรั่ง ยุโรปที่ชอบดื่มน้ำอัดลม อมท้อฟฟี่เปรี้ยว ๆ หรือเคี้ยวกินชีส ล้วนแล้วทำให้น้ำลายซึ่งควรจะมีมีสภาวะเป็นด่างกลายเป็นกรด และเกิดปัญหาการกัดกร่อนฟันทำให้สารปรอทหลุดลอยไปกับอาหาร นอกจากจะกลืนกินแล้วยังมีไอปรอทที่ระเหยให้เราสูดดมเข้าไปทางปอด ตกค้างในปอดเข้าไปในกระแสเลือด เป็นผลร้ายต่อสุขภาพ

งานวิจัยยังรายงานอีกว่า ปัญหาสุขภาพเรื้อรังมากมายที่น่าจะมีสาเหตุส่วนหนึ่ง มาจากสารปรอทที่คนไข้ได้รับอยู่ทุกวันจากที่อุดฟัน ตั้งแต่ภาวะภูมิแพ้ที่หาสาเหตุไม่เจอ ซึ่งหน้าจะพบได้บ่อยสุด หมอเพิ่งมีคนไข้ที่มีปัญหามือพุพองเป็นแผล ไปทำการตรวจสอบแล้วก็ไม่รู้ว่าแพ้อะไร แต่ในที่สุดเมื่อตรวจวัดพลังงาน BEM (Bio Energy Medicine) ก็พบว่ามีสารปรอทเป็นพิษในตัว เมื่อแนะนำให้ไปเอาปรอทออกเปลี่ยนเป็นที่อุดฟันแบบอื่น พบว่าในวันที่เปลี่ยนที่อุดฟันนั้น มีสารปรอทมากมายเข้ามาในกระแสเลือด ทำให้มือพุพองประทุหนักมากขึ้น ต้องใช้วิธีคีเลชั่น (Chelation) มาช่วยดักจับสารปรอทออกไปจากร่างกาย ผื่น แพ้ พุพองถึงจะดีขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากนี้ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้แก่ โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ตัวเอง อย่าง SLE ก็เป็นไปได้ว่ามาจากสารปรอทที่อยู่ในฟันเรามานาน ๆ เพราะปรอทเมื่อไปเกาะติดกับเม็ดเลือดก็จะทำให้ภาวะภูมิต้านทานเราลดลง จนแม้กระทั่งตัวเองก็ยังแพ้ ทำงานแปรปรวนกันไปหมด แถมทำให้ขาดพลังงาน

รู้สึกอ่อนล้า เหนื่อย เพลียง่าย มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ไขข้ออักเสบ และที่สำคัญก็คืออาการต่อระบบประสาท ทั้งความจำเสื่อม อัลไซเมอร์ กระแสประสาทผิดปกติ กล้ามเนื้อชักกระตุก สายตาสั้น สายตายาวผิดปกติ โรคจิต หวาดระแวง สมาธิสั้น หรือมีความผิดปกติในการเรียนรู้ นอนไม่หลับ ปวดร้าวไปตามเส้นประสาท กระเพาะอาหาร และลำไส้อักเสบ การดูดซึมอาหารผิดปกติ ผมร่วง ท้องผูก เบื่ออาหารอย่างหนัก หรือน้ำหนักขึ้น มีการสะสมของไขมันได้มาก เอาเป็นว่าปัญหาสุขภาพเรื้อรัง หลาย ๆ โรคที่หาสาเหตุไม่เจอด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน อาจเป็นไปได้ว่ามีผลมาจากโลหะหนัก หรือสารปรอทที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วร่างกายเรา

คำแนะนำของแพทย์ในปัจจุบันนี้ก็คือ หากใครมีที่อุดฟันเป็นสีเงิน ๆ หรืออมัลกัมก็สมควรจะไปเอาออกโดยปรึกษากับทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยตรงนะคะ เพราะในขบวนการเอาที่อุดฟันอมัลกัมนี้ออก แล้วใส่ที่อุดฟันอื่นเข้าไปแทนนั้น มีความละเอียดอ่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ปรอททะลักเข้าไปสู่ร่างกายเรา จึงควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ ที่มีเครื่องไม้เครื่องมือครบต้องมีที่ดูดน้ำลายชนิดพิเศษ ที่จะลดปริมาณปรอทไม่ให้เข้าไปสู่ร่างกายของคนไข้ ทั้งยังต้องมีที่กำจัดควันที่เกิดจากการกรออมัลกัมออก ที่สำคัญไม่ควรใช้วิธีกรออมัลกัมเป็นผงเล็กผงน้อย เพราะจะทำให้มีพื้นที่ผิวมากขึ้น ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น และเป็นอันตราย บางคนมีปฏิกริยาแทบจะทันทีทันใด หรือภายในไม่กี่ชั่วโมง หลังจากที่เอาอมัลกัมออกก็เกิดผื่นเห่อคันได้ทั้งตัว ทางที่ดีน่าจะใช้วิธีตัดอมัลกัมเป็นชิ้นใหญ่ ๆ แล้วดึงออกทั้งชิ้นได้เป็นดีที่สุด จะลดปัญหาเรื่องควันปรอท บางที่มีผ้าคลุมพิเศษสำหรับปิดหน้าปิดตา และร่างกายของคนไข้เพื่อไม่ให้สัมผัสกับปรอท รวมทั้งคุณหมอและพยาบาลที่ถอนอมัลกัมนี้ก็ต้องมีการสวมใส่เสื้อผ้าที่จะช่วยป้องกันการสัมผัสกับปรอทด้วย

สำหรับคนไข้เมื่อกลับถึงบ้าน ควรถอดเสื้อผ้าซัก อาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเสื้อผ้าโดยเร็ว และถ้าเป็นไปได้ควรทำคีเลชั่น (Chelation) ซึ่งเป็นขบวนการดูดซับจับโลหะหนักออกจากร่างกาย ดีที่สุดก็คือไปหาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านคีเลชั่นโดยตรง และนอนให้ยาทางสายน้ำเกลือประมาณ 3 ชั่วโมง ตัวยาหลักนั้น ได้แก่ EDTA หรือสาร DMSA คลอเรลลา และมักจะให้ร่วมกับวิตามินซีด้วย แต่ถ้าไม่สะดวกที่จะมานอนให้น้ำเกลืออาจจะใช้เป็น EDTA ชนิดเหน็บทางทวารก่อนนอน ที่เรียกว่าดีท็อกซ์ซามิน (Detoxamin) แต่ก็ควรจะเหน็บต่อเนื่องกัน อย่างน้อย ๆ 10-15 ครั้งในเวลา 1 เดือน

ที่สำคัญก็คือ ไม่ควรจะดึงเอาอมัลกัมออกจากปากเราพร้อม ๆ กันหลาย ๆ ซี่ เพราะอาจทำให้ปรอทหลุดเข้าไปในร่างกายปริมาณมากภายในวันเดียวจนเกิดปฏิกิริยาได้ นอกจากจะเป็นผื่นขึ้นทั้งตัวแล้ว อาจจะมีอาการไข้ อ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน หรือบางครั้งลุกออกมาทำงานไม่ไหว ทางที่ดีค่อยเป็นค่อยไป เอาซี่ใหญ่สุดออกก่อน แล้วก็ทำการล้างโลหะออกจากร่างกายด้วยคีเลชั่นทั้งทางสายน้ำเกลือ และทั้งยาเหน็บ และอีกหนึ่งเดือนก็ค่อยกำจัดออกไปซี่หนึ่งอย่างค่อยเป็นค่อยไป บางคนแนะนำให้นวดดีท็อกซ์ หรือนวดกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำเหลืองก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ร่างกายขับถ่ายเอาโลหะหนักออกไปได้เร็วยิ่งขึ้นดีกว่าปล่อยให้ร่างกายกำจัดออกไปเองตามธรรมชาติ

ลองสังเกตตัวเองดูนะคะว่ามีปัญหาสุขภาพอย่างที่กล่าวมาหรือไม่ และเป็นปัญหาเรื้อรังที่รักษามาหลายวิธีแล้วไม่หาย ลองใช้วิธีกำจัดเอาอมัลกัม คุณอาจจะหายจากโรคร้ายได้เป็นปลิดทิ้งในเร็ววันโดยไม่ต้องใช้ยา

บทความโดย
Pakpilai Thavisin, M.D.
S medical Spa

 

ปรอทในฟัน มหันตภัยใกล้ตัวคุณ
ปรอทในฟัน มหันตภัยใกล้ตัวคุณ
ปรอทในฟัน มหันตภัยใกล้ตัวคุณ
ปรอทในฟัน มหันตภัยใกล้ตัวคุณ


 

                     

เลเซอร์เทคโนโลยีพิชิตขนใต้วงแขน ให้เรียบเนียนขาวนวล
วันที่ 20/05/2010  01:58:13 AM ,ผู้เข้าชม : 3478
เลเซอร์เทคโนโลยีพิชิตขนใต้วงแขนของคุณผู้หญิง ให้ผิวเรียบเนียนขาวนวล ไร้กังวล

เลเซอร์เทคโนโลยีพิชิตขนใต้วงแขน ให้เรียบเนียนขาวนวล

เลเซอร์เทคโนโลยีพิชิตขนใต้วงแขน
ให้เรียบเนียนขาวนวล

บอกลาวิธีเก่าๆล้าสมัยในการกำจัดขนได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการโกน ซึ่งเพียงแค่ไม่กี่วัน ขนรักแร้ ขนหน้าแข้งก็โผล่พ้นผิวขึ้นมาใหม่ เพราะกำจัดได้แค่เพียงเส้นขนนอกผิว แถมขึ้นใหม่ๆทีไรก็แข็งหน้ารำคาญทุกที และการโกนนั้นเป็นการครูดเอาผิวเนื้อบอบบางของคุณออกไปด้วย โกนไปโกนมาสุดท้ายผิวก็ดำคล้ำ แถมมีการอักเสบที่รูขุมขน เกิดเป็นจุดดำๆไม่น่ามอง

.........................................................................................................
โฆษณา-ลิงก์ผู้สนับสนุน

.........................................................................................................

ส่วนวิธีการใช้ขี้ผึ้งแวกซ์กำจัดขนนั้น แม้จะทำให้ขนหลุดร่วงออกมาถึงรากขน แต่ก็มักเกิดการระคายเคือง ยิ่งขี้ผึ้งร้อนทำลายผิวบอบบาง โดยเฉพาะบริเวณรักแร้ และ บิกีนี่ มีโอกาสเกิดรอยดำคล้ำ จากการรบกวนผิวมากเกินไป และไม่สามารถกำจัดขนได้อย่างถาวร

ครีมทากำจัดขนส่วนใหญ่ ทำให้รากขนหลุดร่วงออกมาได้ ไม่เจ็บตัวเหมือนการแวกซ์ แต่ก็เกิดการระคายเคืองได้ไม่น้อย เพราะส่วนใหญ่จะใช้สารเคมีที่มีคุณสมบัติคล้ายๆน้ำยาดัดผม เพียงแต่เข้มข้น รุนแรงกว่าจนทำให้ขนหลุดร่วงกันไปเลย

ส่วนวิธีใช้เข็มไฟฟ้าจี้เข้าไปในรูขุมขน แล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าให้เข้าไปทำลาย รากขนทีละเส้นทีละเส้น แม้จะยืดเวลาได้นานเป็นเดือน กว่าที่ขนจะขึ้นมาใหม่ แต่ก็มักจะเกิดปัญหารูขุมขนอักเสบเป็นจุดดำๆ

เทคโนโลยีใหม่ ที่ใช้ในการกำจัดขนได้ผลดี และมีผลถาวรได้ก็คือ การใช้พลังงานแสงเลเซอร์ คลื่นความถี่พิเศษที่จำเพราะเจาะจง จับกับรากขนทำให้รูขุมขนเล็กลง และรากขนหลุดออกมา ไม่ทำให้เกิดผิวไหม้ดำ มีทั้งแบบใช้ IPL ซึ่งใช้ได้กับขนอ่อนตื้นๆ แต่กำจัดขนเส้นหนาลึกไม่ค่อยจะได้ ไปจนถึง Gentle YAG เลเซอร์ที่ช่วยกำจัดขนในทุกๆส่วน ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจริงๆ จึงจะเลือกคลื่นความถี่และตั้งพลังงาน ให้เหมาะกับสภาพขนและสภาพผิวพรรณของคนไข้แต่ละคน เพื่อป้องกันภาวะผิวไหม้จากแสงเลเซอร์

แม้จะได้ชื่อว่ากำจัดขนได้ถาวร แต่ต้องทำมากกว่า 1 ครั้ง ผิวคนไทยส่วนใหญ่ ต้องทำเลเซอร์ประมาณ 4-5 ครั้ง ขึ้นอยู่กับความหนาแน่น ดกดำของเส้นขน และสามารถทำได้ในทุกๆส่วนไม่ว่าจะเป็น หนวดเหนือริมฝีปาก เคราคางรกรุงรังของคุณผู้ชาย ขนรักแร้ ขนหน้าแข้งของคุณผู้หญิง เคราคางรกรุงรังของคุณผู้ชาย ไปจนถึงขนหน้าอกและแผ่นหลัง

การทำเลเซอร์กำจัดขนนั้น เจ็บเล็กน้อย ถ้าเป็นบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่น เหนือริมฝีปาก รักแร้ หรือ บิกินี่ อาจจำเป็นต้องใช้ยาชาชนิดครีม ทาทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วค่อยทำเลเซอร์ ช่วยบรรเทาอาการเจ็บ หลังทำมักไม่มีปัญหา มีอาการบวมแดงเพียงแค่ไม่กี่นาที ทาครีมบำรุงผิวให้ผิวชุ่มชื้น อาการระคายเคืองจากเลเซอร์ก็จะหายไปได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง หลังจากทำเลเซอร์ครั้งแรก ภายใน 2-4 สัปดาห์ จะเห็นขนขึ้นมาใหม่ แต่จำนวนน้อยลง ขนาดเส้นขนบางลง และมักจะยาวช้า หลังจากทำครั้งที่ 2 เส้นขนยิ่งน้อยลง บางลงไปเรื่อยๆ ทำให้ระยะห่างของการทำเลเซอร์ยาวนานขึ้น

และทีนี้คุณก็ไม่ต้องมากังวลใจ ใส่เสื้อ สายเดี่ยว เกาะอก ยกแขน ชูแขน เริงร่าได้อย่างมั่นใจว่าใต้วงแขนของคุณเรียบเนียน ขาวนวล

บทความโดย
Pakpilai Thavisin, M.D.
Smedspa.com

เลเซอร์เทคโนโลยีพิชิตขนใต้วงแขน ให้เรียบเนียนขาวนวล

เลเซอร์เทคโนโลยีพิชิตขนใต้วงแขน ให้เรียบเนียนขาวนวล

 

 

ผิวขาว หน้าใส เทคนิคใหม่ของ "Meso"
วันที่ 18/05/2010  02:50:09 AM ,ผู้เข้าชม : 8598
ผิวขาว หน้าใส หน้าเด้ง เทคนิคใหม่ของ "Meso" ด้วยการนวดหน้าทำเฟเชียล ทรีทเมนต์ แบบ เมโสเทอราปี

ผิวขาว หน้าใส เทคนิคใหม่ของ "Meso"ผิวขาว หน้าใส เทคนิคใหม่ของ "Meso"ผิวขาว หน้าใส เทคนิคใหม่ของ "Meso" 

ผิวขาว หน้าใส
เทคนิคใหม่ของ "Meso"

สาวไทย สาวเอเชียทั้งหลายอยากหน้าขาวผ่องใสกันทั้งนั้น ผลิตภัณฑ์ท็อปเทนในท้องตลาดจึงหนีไม่พ้น ผลิตภัณฑ์หน้าขาว สารพัดไวท์เทนนิ่ง ตั้งแต่โฟมล้างหน้า ไนท์ครีม เดย์ครีม ครีมบำรุงพิเศษ ฯลฯ แต่เทคนิคที่จะเพิ่มความขาวใส นอกเหนือจากครีมบำรุง ก็ยังมีให้เลือกอีกมากมาย ตั้งแต่การสครับขัดผิวหน้า ลอกหนังกำพร้าออกไป ผิวก็ดูผ่องใสได้ แต่การขัดหน้านั้น เป็นการทำให้ผิวหนังชั้นนอกบอบบางลง จึงมีความเสี่ยงต่อการแพ้ การระคายเคือง แพทย์ผิวหนังส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยนิยมการสครับผิวหน้ามากนัก แต่อาจใช้สารธรรมชาติ เช่น กรดผลไม้ AHA หรือ เอ็นไซม์ บางอย่าง ช่วยให้เซลล์หนังกำพร้าผลัดเซลล์หลุดลอกออกไปได้เร็วขึ้น แต่ไม่ทำให้ผิวหน้าบางลง

.........................................................................................................
โฆษณา-ลิงก์ผู้สนับสนุน

.........................................................................................................

นอกจากนี้การใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์อย่าง ไอออนโต และโฟโน หรือคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ช่วยผลักตัวยาหน้าขาว เช่น วิตามินซี กรดโคจิก วิตามินบี 3 และอื่น ให้ออกฤทธิ์ปรับสภาพเซลล์สร้างสีผิวให้ทำงานพอดี ๆ ไม่มากเกินไป เป็นการช่วยให้ผิวดูผ่องใสขึ้น ก็เป็นอีกเทคโนโลยีหนึ่งที่ช่วยให้ผิวขาวใสได้

แต่เทคนิคใหม่ล่าสุดที่จะช่วยให้ตัวยาออกฤทธิ์ในชั้นผิวหนังได้ดีกว่า เรียกว่า Needleless Meso Therapy หรือการรักษาแบบเมโส แต่ไม่ต้องใช้เข็ม

เมโสเทอราปี (Meso Therapy) คืออะไร ?

เมโสเทอราปี เป็นการรักษาปัญหาสุขภาพความงามที่ใช้กันมาเป็น 100 ปีแล้ว โดยแพทย์ชาวฝรั่งเศส หลักการคือการใช้เข็มอันเล็ก ๆ ฉีดตัวยาเข้าไปในชั้นผิวหนังที่เรียกว่าชั้นเมโส ซึ่งอยู่ตื้น ๆ แต่การกระจายของตัวยาอาจจะไม่ค่อยดีมากนัก จึงต้องใช้วิธีจิ้มเข็มแทงยาเข้าไปในผิวหนังในระยะห่างกันไม่เกิน 1 เซ็นติเมตร ตัวยาที่ใช้มีได้หลากหลาย เช่น หากจะใช้เมโส เทอราปี สลายไขมันหน้าท้อง ก็จะต้องจิ้ม และก็ต้องฉีดยาไปบริเวณผิวหนังหน้าท้อง อย่างน้อย ๆ ก็ 50-60 เข็ม ถ้าต้นขา และน่องด้วย รวม ๆ แล้วก็จะเป็น 100 เข็ม ประสิทธิภาพดีมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับชนิดของตัวยาที่ใช้ ในขณะที่หากต้องการทำเมโส เทอราปีให้ผิวหน้าผ่องใส มักจะเลือกใช้วิตามินซี กรดวิตามินเอ สารสกัดจากชะเอมเทศ หรือลิโคไรซ์ ฉีดเข้าไปในผิวหนังบนใบหน้า กว่าจะทั่วหน้าก็ต้องโดนกัน 30-40 เข็ม ล่ะค่ะ ซึ่งแม้ตัวยาจะเข้าไปออกฤทธิ์ได้ดีในชั้นผิวหนัง แต่ข้อเสียก็คือเจ็บตัว แม้จะฉีดแค่ตื้น ๆ แต่เอาเข็มมาจิ้ม ๆ เล่นบนหน้าก็คงไม่สนุกนักหรอกนะคะ ที่สำคัญก็คือ หากบางคนผิวบาง เส้นเลือดฝอยขยาย เข็มจิ้มไปจิ้มมา ดีไม่ดีทำให้เส้นเลือดฝอยแตก กลายเป็นรอยฟกช้ำดำเขียว ซึ่งกว่าจะหายก็หลายสัปดาห์ หรือเป็นเดือนเลยทีเดียวล่ะค่ะ

อย่ากระนั้นเลย นักวิทยาศาสตร์ได้คิดค้นเครื่องมือที่จะช่วยผลักยาลงไปในชั้นผิวหนังได้ล้ำลึกกว่าเครื่องไอออนโต และเครื่องโฟโน นั่นก็คือเครื่องทำเมโสเทอเรอปี โดยไม่ต้องใช้เข็มฉีดยา นอกจากจะมีประสิทธิภาพในการผลักตัวยาได้ล้ำลึกแล้ว ยังไม่ต้องเจ็บตัวจากการโดนเข็มจิ้มอีกต่างหาก

ขบวนการปรับหน้าใสด้วย เมโสเทอราปี ต้องทำอย่างไรบ้าง ?

วิธีการทำไม่ยุ่งยาก ก็เหมือนกับการทำเฟเชียล ทรีทเมนต์ เริ่มต้นด้วยการทำความสะอาดผิวล้ำลึก หลังจากนั้นก็ใช้เครื่อง Needleless Meso Therapy หรือ เมโส เทอราปี แบบไม่ต้องใช้เข็ม นวดคลึงไปบนใบหน้าเพื่อให้ผลักตัวยาที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นวิตามินซี วิตามินบี 3 ไฮยาลูโรนิค แอซิด ที่ให้ความชุ่มชื้น คอลลาเจนที่ให้ความแข็งแรงกับผิว หรือตัวยาทรานซีมีน ที่ช่วยรักษากระ ฝ้า ให้จางลงแม้ในครั้งเดียว การนวดด้วยเครื่องเมโสนี้ ก็จะรู้สึกเหมือน ตัวอะไรมาตอดที่หน้านิดหนึ่ง แต่บางคนก็หลับได้เลยล่ะค่ะ ไม่เจ็บไม่ปวดแต่อย่างใด หลังจากใช้เครื่องเมโสผลักตัวยาแล้ว ขั้นต่อมาก็ใช้เรื่องของ โฟโต เทอเรอปี หรือการบำบัด ด้วยแสงสีแดงอินฟราเรด ซึ่งช่วยให้เส้นเลือดขยาย กระตุ้นความแข็งแรงให้คอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวหนัง และยังช่วยผลักตัวยาบางอย่างทั้งวิตามินซี คอลลาเจน และไลโปโซม เสริมลงไปได้ด้วย หลังจากนั้นอาจจะเติมด้วยการพอกหน้าด้วยสมุนไพรบางอย่างเพื่อที่จะช่วยให้เซลล์ผิวหนังมีความชุ่มชื้น และเรียบเนียน รวมทั้งผ่องใสขึ้น ใช้เวลาทั้งหมดไม่เกิน 1 ชั่วโมง นอนหลับไปหนึ่งตื่น ลืมตาขึ้นมาคุณก็สามารถเป็นเจ้าของผิวสวยใสได้ในพริบตา

ผลการรักษาหากเทียบกับการใช้เลเซอร์หน้าใส แตกต่างกันหรือไม่ ?

จริง ๆ แล้วขบวนการทำเฟเชียล ทรีทเมนต์ ให้หน้าใสด้วยเครื่องเมโสนี้ ทำให้หน้าดูขาวนวลผ่องขึ้นมาได้ทันที ในขณะที่การทำเลเซอร์หน้าใสจำพวก IPL นั้น ผิวอาจจะดูนวล ๆ ขึ้น แต่ไม่ขาวเท่ากับเครื่องเมโส แต่ข้อดีของIPL ก็คือ สามารถกระตุ้นคอลลาเจน อีลาสติน ในระดับที่ลึกลงไปช่วยให้ผิวเรียบเนียน กระชับรูขุมขน ทำให้ผิวแข็งแรงมากกว่าในระยะยาว ได้ผลดีกันไปคนละแบบ แพทย์ส่วนใหญ่จึงแนะนำว่า คุณสามารถทำได้ทั้งสองอย่างโดย IPL นั้น ไม่จำเป็นต้องทำบ่อย ทำแต่ละครั้งให้ได้พลังงานเต็มที่ เพื่อจะไปกระตุ้นคอลลาเจนอีลาสตินแล้วก็เว้นไปได้เลย 2-4 สัปดาห์ ถึงจะทำซ้ำ ในขณะที่ขบวนการหน้าใสด้วยเครื่องเมโสเทอเรอปีนี้ สามารถทำได้ทุก ๆ สัปดาห์ เอาไว้ช่วงระหว่างการทำเลเซอร์คุณก็สามารถมาเข้าโปรแกรมหน้าใสเมโส คริสตัลไวท์นี้ได้ทุกอาทิตย์

แล้วค่าใช่จ่ายแพงไหม? ค่าใช้จ่ายในการทำเฟเชียล ทรีทเมนต์ แบบเมโส คริสตัลไวท์ นี้อยู่ประมาณ 2,000-3,000 บาท ขึ้นอยู่กับตัวยาที่ใช้ และสถานที่ที่ทำ และที่แน่ ๆ ควรจะต้องเป็นคลีนิคแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพความงามของผิวพรรณโดยตรง เพราะเครื่องมือชนิดนี้ถูกจัดเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ ร้านเสริมสวย หรือสปาทั่ว ๆ ไปไม่สามารถนำไปใช้ได้ เพราะควรจะต้องมีแพทย์ตรวจสภาพผิวเสียก่อน เพื่อที่จะได้เลือกตัวยาได้ถูกกับสภาพผิว แม้ยาบางอย่างจะช่วยให้หน้าขาวได้เร็ว เช่น วิตามินซี 10 % หรือกรดวิตามินเอ แต่ก็อาจจะมีผลให้เกิดการระคายเคืองได้ หากผิวมีการอักเสบ หรือคนไข้มีปัญหาผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย จึงจำเป็นต้องให้แพทย์ตรวจสักนิด และเลือกตัวยาให้เหมาะสมกับผิวคุณก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดีเลิศในที่สุด

ให้รางวัลกับตัวเองสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ผ่อนคลายด้วยการนวดหน้าทำเฟเชียล ทรีทเมนต์ แบบ เมโสเทอราปี ( Meso Therapy) ผิวหน้าคุณก็จะผ่องใส ขาวนวลใยแบบคริสตัลไวท์ได้จริง ๆ ค่ะ

บทความโดย
Pakpilai Thavisin, M.D.
S Medical Spa

ผิวขาว หน้าใส เทคนิคใหม่ของ "Meso"
ผิวขาว หน้าใส เทคนิคใหม่ของ "Meso"
ผิวขาว หน้าใส เทคนิคใหม่ของ "Meso"
ผิวขาว หน้าใส เทคนิคใหม่ของ "Meso"


 

                     

สวยด้วยทองคำบริสุทธิ์?
วันที่ 18/05/2010  02:22:55 AM ,ผู้เข้าชม : 4159
สวยใส หน้าเนียนเด้ง คืนความสาวสวย ด้วยทรีทเมนท์ทองคำบริสุทธิ์

สวยด้วยทองคำบริสุทธิ์สวยด้วยทองคำบริสุทธิ์สวยด้วยทองคำบริสุทธิ์ 

สวยด้วยทองคำบริสุทธิ์?

ข่าวคราวเรื่องทองคำกับความงาม มีมาเรื่อยๆ ความจริงคนเรารู้จักใช้ทองคำเพื่อสุขภาพความงามกันมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ว่ากันว่า พระนางคลีโอพัตรา ต้องนอนหลับโดยมีทองคำบริสุทธิ์พอกอยู่บนใบหน้า เพื่อรักษาความงามให้คงทน ในขณะเดียวกันชาวโรมัน ก็รู้จักที่จะใช้แร่ธาตุทองคำมารักษาโรคผิวหนัง ในปัจจุบันมีการนำทองคำบริสุทธิ์มาใช้ควบคู่กับยารักษามะเร็ง

.........................................................................................................
โฆษณา-ลิงก์ผู้สนับสนุน

.........................................................................................................

สำหรับทองคำกับความงามนั้นมีที่ใช้ ดังนี้

   - เครื่องสำอางบำรุงผิวผลิตภัณฑ์สำหรับสครับขัดผิวและผสมทองคำ งานวิจัยพบว่า แร่ธาตุทองคำเมื่อซึมเข้าสู่เซลล์ชั้นผิวหนัง จะไปลดและชะลอการสลายตัวของเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวเหี่ยวย่นและหย่อนยานช้าลง ทั้งยังพบว่าแร่ธาตุทองคำจะไปกระตุ้นให้เซลล์ซ่อมแซมตัวเอง มีคอลลาเจนและอีลาสตินที่แข็งแรงขึ้น ผิวจึงดูเต่งตึงกระชับ ทองคำยังเป็นสารต้านการอักเสบ ช่วยลดปฎิกิริยาที่ทำให้เซลล์สร้างสีผิวทำงานมากผิดปรกติ จึงช่วยให้ผิวพรรณดูผ่องใส จุดด่างดำจางลง ค่าใช้จ่ายอยู่ที่หลักร้อยถึงหลักพันต้นๆ

   - ทรีทเม้นท์พอกหน้าด้วยทองคำบริสุทธิ์ เป็นการคิดค้นโดยผู้เชี่ยวชาญด้านความงามในประเทศญี่ปุ่น เมื่อทำความสะอาดผิวหน้า ด้วยน้ำยาพิเศษ แล้วนำทองคำเปลวพอกไปทั่วใบหน้า ใช้เครื่องมือในการช่วยผลักทองคำให้ซึมซาบลงไปใต้ผิว เป็นที่นิยมกันมากในญี่ปุ่นและรัสเซีย พบว่าผิวดูนวลขึ้นได้ในครั้งเดียว แต่ถ้าจะให้เห็นผลในเรื่องของ ริ้วรอยเหี่ยวย่นและจุดด่างดำจางลง คงต้องทำต่อเนื่องกันอย่างน้อยๆ 4-6 ครั้ง ค่าใช้จ่าย ประมาณ ห้าพันบาท / ครั้ง

   - เส้นไหมทองร้อยลงไปใต้ผิวหน้า นอกจากคุณสมบัติของทองคำที่ช่วยลดการอักเสบ กระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินแล้ว เทคนิคการร้อยเส้นไหมทองลงไปในชั้นผิวหนังนั้น ต้องร้อยเป็นตาข่ายเพื่อช่วยพยุงผิวหนังไม่ให้หย่อนยาน งานวิจัยในรัสเซียพบว่า เส้นไหมทองจะกระตุ้นให้เส้นเลือดขยาย มีออกซิเจนมาเลี้ยงผิวหนังมาก ผิวหนังจึงดูแข็งแรง วิธีนี้ต้องใช้แพทย์ผู้ชำนาญจริงๆ และอาจไม่เห็นผลทันใจ ต้องรอให้ร่างกายค่อยๆสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมา ราคาค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง หกหลักขึ้นไป

   - กดจุดฝังเข็มทองคำ มีผู้เชี่ยวชาญด้านการฝังเข็มบางคน นิยมใช้เข็มที่เคลือบทองคำบริสุทธิ์แทนเข็มโลหะ ช่วยลดการแพ้ การระคายเคืองจากสแตนเลส และคนไข้มักจะบอกว่า รู้สึกสบายกว่า ไม่เจ็บปวดเท่าเข็มที่เป็นแท่งเหล็ก

แม้ทองคำจะมีประโยชน์ต่อผิวพรรณ อาจไม่เห็นผลทันใจ เหมือนการฉีดโบท็อกซ์ หรือการผ่าตัด ลองพิจารณาดูว่า วิธีไหนเหมาะกับสภาพผิวและกระเป๋าสตางค์ของคุณ

บทความโดย
Pakpilai Thavisin, M.D.
S Medical Spa

สวยด้วยทองคำบริสุทธิ์


 

                     

เมื่อคุณผู้ชาย... มีฮอร์โมนบกพร่อง
วันที่ 18/05/2010  01:55:28 AM ,ผู้เข้าชม : 3784
เมื่อคุณผู้ชายเลี้ยงนกเขาไม่ขัน เพราะมีระดับฮอร์โมนบกพร่อง ปัญหาของชีวิตคู่รักวัยทอง

เมื่อคุณผู้ชาย... มีฮอร์โมนบกพร่องเมื่อคุณผู้ชาย... มีฮอร์โมนบกพร่องเมื่อคุณผู้ชาย... มีฮอร์โมนบกพร่อง 

เมื่อคุณผู้ชาย...
มีฮอร์โมนบกพร่อง

ผู้หญิงเราส่วนใหญ่ยอมรับและทำใจได้ง่าย ว่าพออายุเกิน 45 ปี ไปแล้วอะไร ๆ ก็ดูจะถดถอยไปอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เพราะย่างหนึ่งก้าวขาเข้าไปสู่วัยทองที่จะต้องมีการบกพร่องของฮอร์โมนเพศ เริ่มมีอาการผิดปกติประจำเดือน มาช้าบ้างมาเร็วบ้าง น้ำหนักตัวขึ้นเร็ว อ้วนง่าย แม้จะยับยั้งชั่งใจไม่กินอะไรแล้วก็ตาม รวมทั้งออกกำลังกายได้น้อยลง เหนื่อยล้ามากขึ้น การทำงานก็ช้าลง แถมยังหงุดหงิดขี้โมโห คุณผู้หญิงส่วนใหญ่ทำใจได้ว่า เป็นช่วงหนึ่งของชีวิตที่ร่างกายต้องมีการเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งเข้าสู่วัยทองอย่างแท้จริง ที่ฮอร์โมนหดหายหมดประจำเดือนอย่างจริง ๆ จัง ๆ

.........................................................................................................
โฆษณา-ลิงก์ผู้สนับสนุน

.........................................................................................................

แต่ประเด็นก็คือ คุณผู้ชายคนข้างเคียงเขาก็มีภาวะฮอร์โมนบกพร่องได้ด้วยเหมือนกันนะคะ แม้โดยทั่วไปแล้วผู้ชายจะค่อย ๆ เริ่มมีอาการฮอร์โมนพร่อง ช้ากว่าผู้หญิงสัก 5-10 ปี หรือเมื่ออายุเฉียด 50 หรือ 50 กว่าปี ไปแล้ว แต่ด้วยวิถีชีวิตของคนในปัจจุบัน ทำให้ร่างกายเร่งรีบแก่เร็วกว่าที่ควร ระยะนี้หมอจึงเจอคนไข้ผู้ชายที่อายุไม่ถึง 40 ปี แต่มีอาการของฮอร์โมนพร่องอย่างชัดเจน อย่ากระนั้นเลย คุณผู้อ่านลองสังเกตคนข้างกายดูบ้างนะคะ ว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่ หากมีอาการแม้เพียงเล็กน้อยก็อย่าได้ชะล่าใจ พาไปให้หมอตรวจเช็ค และปรับสมดุลของฮอร์โมน ปรับสมดุลของร่างกายเราสักนิดเพื่อชีวิตของคนที่คุณรัก จะได้ยืนยาวแบบมีสุขภาพดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย

ภาวะฮอร์โมนบกพร่องในคุณผู้ชายนั้น คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดคิดทึกทักเอาเองว่าเป็นเรื่องของสมรรถภาพทางเพศเสื่อม เอาเข้าจริง ๆ แล้วอาการทางจิตนั้นมีนำมาก่อนได้ตั้งแต่ 5-10 ปี เพราะฮอร์โมนในร่างกายเรานั้นมีหลากหลายมากมายกว่า 10 ชนิด ฮอร์โมนชนิดแรกที่มักจะเสื่อม ได้แก่ไทรอยด์ฮอร์โมน ซึ่งสร้างมาจากต่อมไทรอยด์บริเวณลำคอด้านหน้า มีหน้าที่หลักในการควบคุมเมตาบอลิซึม การทำงานของเซล หรือการใช้ การเผาผลาญพลังงานในเซลต่าง ๆ นั่นเอง ไทรอยด์ฮอร์โมนนั้นมักจะบกพร่องตั้งแต่เริ่มย่างก้าวเข้าสู่วัยสามสิบกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากใครรับประทานมังสวิรัต หรือไม่ชอบอาหารทะเล แถมไม่ได้ใช้เกลือเสริมไอโอดีน การขาดไอโอดีนมีผลให้ต่อมไทรอยด์ขาดสารอาหารสำคัญในการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ อาการหลักของการขาดไทรอยด์ก็ได้แก่ ขี้หนาว มือเท้าเย็น รู้สึกอ่อนล้าเพลียง่าย เช้าๆ ไม่ค่อยอยากจะตื่นนอน บ่าย ๆ ก็นั่งหาวเอา ๆ จนเสียบุคคลิก ต้องแอบไปงีบหลับสัก 15 นาที ถึงจะตื่นขึ้นมาว่าราชการต่อได้ ที่สำคัญก็คือน้ำหนักตัวขึ้นง่ายเหลือเกิน กินนิดกินหน่อยน้ำหนักตัวก็ขึ้นแล้ว เรามักจะเริ่มเจอปัญหานี้ตั้งแต่อายุ 30 กว่าปีเป็นต้นไป ซึ่งหมอเรียกคนรุ่นนี้ว่า รุ่นดมก็อ้วน เพราะแถบจะไม่ต้องแตะต้องอาหารคุณก็มีโอกาสน้ำหนักตัวขึ้นได้ วิธีการแก้ไขง่าย ๆ ก็คือ ให้แน่ใจว่าคุณได้รับสารไอโอดีนจากอาหารทะเล หรือเกลือแกงเพียงพอ และออกกำลังกายเสริม เพราะการออกกำลังกายนั้นจะสามารถกระตุ้นต่อมไทรอยด์ให้ทำงานได้ดีขึ้น รวมไปถึงการเล่นโยคะบางท่า โดยเฉพาะท่าที่ต้องมีการก้มศีรษะจรดปลายคางเข้าชิดกับหน้าอกล่ะก็ เขาถือว่า เป็นการนวดต่อมไทรอยด์ตามธรรมชาติที่ดีเลยล่ะค่ะ

ถัดมาก็เป็นเรื่องของโกรทฮอร์โมน หรือฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโต และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอเมื่อเราอายุมากขึ้น แต่ถ้าหากคุณไม่ดูแลตัวเองให้ดีล่ะก็ โกรทฮอร์โมนก็จะถดถอย ทำให้ร่างกายอ่อนล้า เพลีย กล้ามเนื้อฟ่อ ไขมันแทรก ที่สำคัญมักจะเครียดเก่ง อยู่หลังเที่ยงคืนก็ไม่ค่อยจะไหว กลายเป็นนางซิน พอเที่ยงคืนปั๊บ ขอนอนกอดหมอนข้างอยู่บนเตียงดีกว่าไปเฮฮาสังสรรค์กับเพื่อนฟูง ไม่เหมือนตอนที่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวกว่านี้ การขาดโกรทฮอร์โมนยังมีผลให้คุณรู้สึกชีวิตไม่มีชีวาเอาเสียเลย แถมยังขี้หลงขี้ลืม ไปจนถึงโรคจิตซึมเศร้าด้วยซ้ำ

พออายุ 30 กว่าเป็นต้นไป ฮอร์โมนเพศหญิง และเพศชาย ในตัวจะเริ่มรวนเร คุณผู้หญิงก็มีปัญหาประจำเดือนมาเร็วกว่าเดิม 5 วัน 7 วัน หรือไม่ก็มาช้า หายไปเลยอาทิตย์สองอาทิตย์ ส่วนคุณผู้ชายก็สังเกตง่าย ๆ จากที่ตอนเช้าอวัยวะเคยลุกชัน ได้อย่างแข็งขัน กลับกลายเป็นว่าอายุยังไม่ถึง 40 ปีเลย แต่อวัยวะส่วนสำคัญ กลับไม่ยอมตื่นนอนตอนเช้า ต้องคอยเขี่ยคอยปลุกอยู่เรื่อย ๆ อันนี้ก็เป็นสัญญาณเตือนภัยอันดับแรก ๆ ของภาวะฮอร์โมนเพศชายบกพร่อง เพราะโดยทั่วไปก่อนวัย 40 ปี หากสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีล่ะก็ คุณควรจะมีอวัยวะชูชันได้ทุก ๆ เช้า แต่แน่นอนว่าเมื่ออายุเกิน 50 ปี ความเข้มแข็งก็ย่อมจะน้อยลง ปัญหาก็คือ ด้วยวิถีชีวิตสมัยใหม่บวกกับไลฟ์สไตล์ที่กินเหล้า สูบบุหรี่ ดื่มกาแฟวันหนึ่งตั้งแต่ 2 แก้วขึ้นไป รวมทั้งความเครียด ล้วนแล้วแต่มีผลให้ฮอร์โมนเพศบกพร่อง กลายเป็นสมรรถภาพเริ่มเสื่อมถอยตั้งแต่ อายุยังไม่ถึง 40 ปีด้วยซ้ำ

ช่วงนี้หมอได้พบคนไข้ที่มาปรึกษา เรื่องการเสื่อมสภาพของร่างกายเร็วกว่าวัยอันควร ก็เพราะคนหนุ่มๆ ที่อายุยังไม่ถึง 40 ปี แต่เริ่มมีปัญหาสุขภาพ ตั้งแต่ความเครียด หลอดเลือดเสื่อมจนความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลในเลือดก็สูง เสี่ยงต่อภาวะโรคหัวใจ แถมนอนตื่นสายไม่อยากจะลุก น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ดูไปดูมาอ้วนเหมือนผู้หญิง ไม่ใช่อ้วนลงพุงอย่างเดียว แต่ไปอ้วนกองอยู่บนต้นขา และสะโพก แถมบางคนหน้าอกหน้าใจตั้งเต้าเต่งตึง ตรวจเช็คกันจริง ๆ ระดับฮอร์โมนที่บกพร่องนั้น มักไม่ได้เกิดตามสามัญธรรมชาติ แต่เกิดเพราะ ไลฟสไตล์ คุณผู้ชายกลุ่มนี้มักจะมีความเครียดสูง หรือไม่ก็ดื่มกาแฟมากกว่าวันละ 1 แก้ว หรือดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าสัปดาห์ละ 2-3 แก้ว ทั้งแอลกอฮอล์ ทั้งคาแฟอีนในน้ำชากาแฟ มีผลโดยตรง ให้ฮอร์โมนในร่างกายให้มันเสียสมดุล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ดื่มเบียร์ ดื่มไวน์ กันเยอะ ๆ แม้จะดูเก๋เท่ห์ รสนิยมเลิศหรูต้องดื่มแชมเปญ หรือไวน์แดง แต่หารู้ไม่ว่า ในเบียร์ในไวน์นั้น มี xenoestrogen ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงตัวร้ายที่บั่นทอนกล้ามเนื้อ และเสริมสร้างไขมันเข้ามาทดแทน คุณผู้ชายเลยอ้วนแบบฉุ ๆ แถมมีหน้าอกตั้งเต้าราวกับเด็กสาวแรกรุ่น ที่สำคัญไขมัน มันไปแทรกเอาในอวัยวะส่วนสำคัญด้วย ก็เลยทำให้อวัยวะอ่อนนิ่ม ไม่สามารถจะแข็งขันชูชันได้ เหมือนกับแต่ก่อน

ซึ่งปัญหาภาวะฮอร์โมนบกพร่องในคุณผู้ชายเหล่านี้ แก้ไม่ยากหรอกนะคะ แค่ตรวจสุขภาพ ตรวจสมดุลของพลังงานในร่างกาย และตรวจฮอร์โมนให้แน่ใจว่าคุณขาดตัวไหน หลังจากนั้นก็ใช้วิธีปรับเปลี่ยนไลฟสไตล์ หันมากออกกำลังกายทั้งแบบแอโรบิค และยกน้ำหนัก หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงจำพวกผลิตภัณฑ์นม ขนมหวาน ขนมขบเคี้ยว เบเกอรี่ทั้งหลาย ไปถึงลดการดื่มน้ำชากาแฟ และแอลอกฮอล์ลง ร่วมกับการพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ บางคนแค่เปลี่ยนพฤติกรรมง่าย ๆ แค่นี้ ก็สามารถกลับมามีฮอร์โมนที่สมดุลได้ แต่บางคนก็จำเป็นต้องใช้ การเสริมเติมทั้งวิตามินเกลือแร่ และเลยไปถึงการเติมฮอร์โมน ซึ่งไม่ได้อันตรายอย่างที่หลายคนกลัวหรอกนะคะ เพราะฮอร์โมนก็คือสารธรรมชาติที่ร่างกายเราคุ้นเคย เพราะสร้างได้เองตั้งแต่เกิด เพียงแต่แก่ตัวลง หรือใช้วิถีชีวิตที่ไม่เหมาะ ก็ทำให้ฮอร์โมนมันบกพร่องร่อยหรอไป ก็เติมเสริมเข้าไปสักนิด ให้ชีวิตมันคึกคักกลับมาทำงานได้ในระดับที่เหมาะสมตามวัย คุณภาพชีวิตที่ดี ก็จะกลับมาเป็นของคุณในอีกไม่ช้า

หากคุณผู้หญิงใส่ใจรักใคร่คุณผู้ชายข้าง ๆ ไม่อยากให้เขาตายเร็วล่ะก็ พาไปตรวจเช็คสุขภาพประจำปี และอย่าลืมชี้แนะให้ตรวจระดับของฮอร์โมนหลากหลายด้วยนะคะ เผื่อเจอปัญหาจะได้รีบแก้ไขเสียแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จะสายเกินแก้ค่ะ

บาทความโดย
Pakpilai Thavisin, M.D
S Medical Spa

เมื่อคุณผู้ชาย... มีฮอร์โมนบกพร่อง


 

                     

สปากับการสลายไขมัน
วันที่ 18/05/2010  00:43:25 AM ,ผู้เข้าชม : 3350
สปากับการสลายไขมันส่วนเกินรอบสะโพกของคุณผู้หญิง เพื่อการมีรูปร่างผอมสวย หุ่นดี

สปากับการสลายไขมัน  สปากับการสลายไขมัน  

สปากับการสลายไขมัน

สงครามระหว่างคุณผู้หญิงกับไขมันส่วนเกินรอบสะโพกก็ยังไม่มีวันหมดสิ้นไปจากโลกใบนี้ง่าย ๆ เพราะคุณผู้หญิงทุกยุคทุกสมัยก็อยากจะมีรูปร่างสมส่วนสวยงาม แต่เพราะอาหารการกิน จั้งค์ฟู้ด ขนมขบเคี้ยวในปัจจุบันก็มีมากมาย ยั่วยวนให้เกิดกิเลสทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว รู้อีกทีหนึ่งก็กระโปรงกางเกงคับไปหมดแล้ว แต่คุณทราบหรือไม่ว่าปัจจัยหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้เราควบคุมความอยากอาหารไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยนั่นคือความเครียดนั่นเองค่ะ เคยลองสังเกตุไหมคะว่า คุณยิ่งเครียดมากเท่าไหร่ คุณยิ่งตามใจปากมากเท่านั้น บางครั้งคุณก็ให้เหตุผลเข้าข้างตัวเองว่าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ทำงานก็หนักแล้วยังต้องมาอด ๆ อยาก ๆ อีก อย่ากระนั้นเลยขอสร้างผลงานก่อน บ้างานลุยงานกันถึงตี 1 ตี 2 แล้วก็ตามใจปากด้วยการกินขนมเค้ก ไอศครีม คุกกี้รสช็อคโกแลตรอบดึก หรือบางคนก็ตบด้วยข้าวผัดกระเพราะเลยด้วยซ้ำ แล้วอย่างนี้จะผอมสวยได้อย่างไร อย่ากระนั้นเลยเรามาสลายความเครียด ปัจจัยหลักที่ทำให้คุณควบคุมการรับประทานอาหารไม่ได้

.........................................................................................................
โฆษณา-ลิงก์ผู้สนับสนุน

.........................................................................................................

เวลาที่เรามีความเครียด อดนอน ร่างกายเราจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับความเครียดด้วยการเร่งการทำงานของต่อมหมวกไต หรือ Adrenal gland ให้หลั่งฮอร์โมนที่ชื่อว่าคอลติซอล ซึ่งแม้ว่าคอลติซอลจำเป็นอย่างมากในการช่วยร่างกายต่อสู้กับความเครียด แต่เจ้าคอลติซอลก็จะไปกระตุ้นความอยากอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งอยากอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล ขนมหวาน เพื่อให้ร่างกายเราได้รับพลังงานทันทีทันควันไปต่อสู้กับความเครียด คุณ ๆ จึงรู้สึกได้ว่าเวลาเครียดทีไรก็รับประทานขนมหวาน เค้กช็อคโกแลตซะทุกทีไป อย่ากระนั้นเลยมีหลาย ๆ วิธีที่จะช่วยลดระดับคอลติซอล ลดระดับความเครียดให้กับร่างกาย คุณก็จะลดความโหยหาอาหารและขนมหวานไปได้เอง

วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งที่จะลดคอลติซอลก็คือการออกกำลังกายค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายแบบเอโรบิค เดินเร็ว ๆ วิ่งจ้อคกิ้งในสวนสาธาระณะ เล่นโยคะ เข้าคลาสแอโรบิคใช้ได้ทั้งนั้น เพราะเมื่อเราออกกำลังกายสมองจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขทั้งเอนดอร์ฟิน และซีโรโทนิน ซึ่งไปจัดการกำจัดเจ้าคอลติซอลให้ออกไปจากกระแสเลือด เมื่อคุณมีความสุขคุณก็จะควบคุมความอยากอาหารได้ดีขึ้น ก็มันอิ่มอกอิ่มใจแล้ว เหมือนคนมีความรักอิ่มได้โดยไม่จำเป็นต้องกินอาหาร

หรือคุณอาจจะคลายเครียดด้วยการเข้าสปา การทำสปานั้นนับว่าเป็นสุดยอดของการควบคุมอารมณ์เครียดที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง มีรายงานสนับสนุนว่า การนวดนั้นช่วยให้ระดับคอลติซอล ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นการนวดเบา ๆ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต เพิ่มออกซิเจนให้กับเซลล์ทุก ๆ เซลล์ แล้วยังเป็นการเร่งการขับถ่ายของเสียหรือสารพิษออกไปจากร่างกายด้วย เมื่อไม่มีสารพิษร่างกายคุณก็ไม่จำเป็นต้องสะสมไขมันอีกต่อไป ช่วยให้การขจัดไขมันนั้นเป็นไปได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ยิ่งถ้ามีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ การเกร็งกล้ามเนื้อจากความเครียด เพราะเวลาคุณเครียดกล้ามเนื้อก็มักจะขมึงเกลียวมัดกันเป็นปม หากได้นวดหนัก ๆ นวดอย่างถูกวิธี Therapeutic Massage ก็จะช่วยคลายปมกล้ามเนื้อทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายไม่อยากอาหารอีกต่อไป หรือการเข้าสปา ทำอโรม่าใช้น้ำมันหอมระเหยนวดเบา ๆ หรือการได้กลิ่นของน้ำมันหอมระเหยบางอย่างก็จะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย และควบคุมอารมณ์ความหิว ความโหย ความอยากอาหารได้ดียิ่งขึ้นค่ะ

หากจะให้ดีเข้าสปาแล้วก็ต้องทำให้ครบถ้วนกระบวนการ ตั้งแต่สตีมหรือบไอน้ำและเซาน์น่าที่ช่วยเร่งอุณหภูมิในร่างกาย ขับถ่ายเหงื่อ แม้ว่าส่วนของน้ำหนักตัวที่หายไปทันทีนั้นเป็นเรื่องของเหงื่อก็จริง ดื่มน้ำกลับเข้าไปน้ำหนักตัวก็อาจจะกลับมาเหมือนเดิม แต่เวลาขับเหงื่อร่างกายเราจะขับของเสียออกมาด้วย แล้วเจ้าของเสียหรือสารพิษที่ถูกขับออกไปก็จะช่วยให้ร่างกายเราไม่มีความจำเป็นต้องเก็บไขมันไว้เป็นด่านดักสารพิษอีกต่อไป จึงเป็นการช่วยสลายไขมันทางอ้อม แถมการเข้าสตีมอบสมุนไพรให้รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวก็จะมีความสุข ลดความเครียด ลดคอลติซอล และก็ลดความอยากอาหารไปด้วยอีกประการหนึ่ง และถ้าจะให้ดีก็ลง Jaccuzi หรืออ่างน้ำวน หากบางสปาที่ไฮเทคหน่อยจะมีอ่างน้ำวนที่ผ่านการวิเคราะห์วิจัยทางการแพทย์และกายภาพว่า สามารถช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ แล้วยังมีหัวเจทที่ช่วยฉีดสลายไขมันในชั้นใต้ผิวหนังได้อีกด้วย เป็นการกระชับสัดส่วนคล้าย ๆ การนวด Firmming หรือไม่อย่างนั้นก็นอนขึ้นเตียงให้นวดกระชับสัดส่วนที่เรียกว่านวด Firmming กันเลยก็ไม่เลว แม้ว่าการนวดเฟิมมิ่งนั้นจะไม่สามารถตบตีไขมันออกไปเป็นกิโลกรัมได้ เหมาะสำหรับคนที่ลดน้ำหนักมาระยะหนึ่งแล้วต้องการกระชับให้ไขมันไม่เหลว ไม่ห้อย ไม่ย้อย แต่ให้ส่วนสัดกระชับขึ้นมา หากทำต่อเนื่องกันได้สัปดาห์ละ 2 ครั้งก็สามารถกระชับสัดส่วนได้จริง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับน้ำมันที่ใช้ในการนวดด้วยนะคะ หากได้สมุนไพรที่ดี เช่นสมุนไพรจากพริก จากเครื่องเทศต้มยำที่มีความอุ่นร้อน กระตุ้นให้เส้นเลือดฝอยขยายนำออกซิเจนมาเลี้ยงเซลล์กล้ามเนื้อ และนำออกซิเจนมาช่วยสลายไขมันเป็นอุณหภูมิความร้อนของร่างกายออกมาได้ก็จะยิ่งเห็นผลเร็วยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องนวดให้ถูกวิธีเลือกน้ำมันหอมระเหยถูกชนิดก็จะสามารถพิชิตเซลลูไลท์และกระชับสัดส่วนให้คุณได้

เอาเป็นว่าอย่าให้ความเครียดมากล้ำกราย ถ้าคุณเริ่มต้นเครียดแล้วคุณจะควบคุมอาหารไม่ไหว ออกกำลังกายก็ไม่ไหวอีก เริ่มตั้งแต่การควบคุมความเครียดและใช้สปาบำบัดเป็นตัวเสริมในการกำจัดความเครียดและช่วยในการกระชับสัดส่วน คุณอาจจะค้นพบวิธีง่าย ๆ สบาย ๆ ไม่ต้องทนทุกทรมานกับการอดอาหารมากนัก หากคุณรู้จักทำสปาเพื่อขจัดความเครียดค่ะ

บทความโดย
Pakpilai Thavisin, M.D.
S Medical Spa

สปากับการสลายไขมัน
สปากับการสลายไขมัน
สปากับการสลายไขมัน
สปากับการสลายไขมัน


 

                     

สะกดจิตพิชิตไขมัน
วันที่ 16/05/2010  17:08:19 PM ,ผู้เข้าชม : 5115
สะกดจิต สามารถลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ขจัดไขมันส่วนเกินได้ไม่ยาก เคล็ดลับพิชิตโรคด้วยตัวคุณเอง

สะกดจิตพิชิตไขมันสะกดจิตพิชิตไขมัน   

สะกดจิตพิชิตไขมัน

บางครั้งการลดความอ้วนไม่ใช่เรื่องของการควบคุมอาหาร อดอาหาร และออกกำลังกายเท่านั้น หากแต่มีภาวะความเครียด ความกังวลของจิตใจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้ก็เพราะ

.........................................................................................................
โฆษณา-ลิงก์ผู้สนับสนุน

.........................................................................................................

   - ความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่เรียกว่า คอร์ติซอล (Cortisol) จากต่อมหมวกไต และคอร์ติซอลนี่เอง ที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความโหยหาอยากอาหาร โดยเฉพาะอาหารหวาน อาหารมัน ที่ให้พลังงานสูงเพื่อที่จะได้มีเรี่ยวแรงไปต่อสู้กับความเครียด

   - ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) จากความเครียดยังมีผลไปกระตุ้นให้ร่างกายเก็บสะสมไขมันไว้ใช้เป็นพลังงาน เมื่อคราวจำเป็น เมื่อร่างกายต้องต่อสู้กับความเครียด ไม่ว่าจะเป็นการสู้ หรือการหนีถอยก็ตาม ดังนั้นยิ่งเครียดยิ่งมีไขมันสะสมมาก และมีแนวโน้มที่จะขจัดเผาผลาญไขมันเหล่านี้ออกไปได้ยากยิ่งขึ้น 

   - ความเครียดที่เกิดจากการอดหลับอดนอนก็เช่นกัน ยิ่งนอนน้อยร่างกายอ่อนแอ เกิดความเครียดทางร่างกายก็ยิ่งไปกระตุ้นให้มีคอร์ติซอล (Cortisol) มากขึ้น ดังนั้นยิ่งอดนอนจึงยิ่งอ้วนได้มากขึ้น

หากใครก็ตามที่อ้วนเพราะความเครียด และเพราะความไม่สมดุลของฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) แล้วล่ะก็ ต่อให้อดอาหารมากแค่ไหน ออกกำลังกายวันละหลายชั่วโมงก็ไม่สามารถที่จะลดน้ำหนักได้สำเร็จแน่นอน หากยังไม่ขจัดความเครียด ดังนั้นวิธีที่จะช่วยลดความอ้วนที่ดีที่สุดอีกวิธีก็คือ การขจัดความเครียดนั่นเอง ใช้ชีวิตชิว ๆ สบาย ๆ ร่างกายไม่หักโหม ไม่มีคอร์ติซอล (Cortisol) มากเกินก็ไม่จำเป็นต้องเก็บสะสมไขมันเอาไว้เป็นพลังงานใช้ในยามยากแต่อย่างใด คุณก็จะสามารถสลายไขมันลดความอ้วนได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น แต่หากเครียดแล้วควรจะทำอย่างไร ?

   - การคลายเครียดแบบขั้นพื้นฐานก็คือ หากิจกรรมที่คุณรักคุณชอบทำ จะเป็นการไปเดินช้อปปิ้ง ไปเที่ยวต่างจังหวัด ชายทะเล สูดอาการบริสุทธิ์ การฟังเพลงเพราะ หรือเปิดเพลงจังหวะแดนซ์ และเต้นอย่างเมามันอยู่คนเดียวในห้องนอนก็ไม่ผิดกติกา และถ้าจะให้ดีคลายเครียดด้วยการออกกำลังกาย เพราะได้ผ่อนคลายทั้งสมอง ได้ลดคอร์ติซอล (Cortisol) ได้เพิ่มเอนดอร์ฟิน ฮอร์โมนแห่งความสุข แถมได้เผาผลาญพลังงาน และในที่สุดก็จะได้รูปร่างที่คุณพึงปราถนากลับมาด้วย

   - การคลายเครียดที่ได้ผลล้ำลึกกว่าก็คือ การกำหนดจิตตัวเอง ตั้งเป้าหมาย วาดมโนภาพในใจ คล้ายการสะกดจิตตัวเอง เห็นตัวคุณเองผอมเพรียวในกางกางยีนส์ตัวโปรด ท่องไว้ในใจถึงตัวเลขน้ำหนักที่คุณปราถนาจะให้เป็น คิดเป็นบวกอยู่เสมอ ตื่นเช้ามาก็นั่งท่องไปว่า ร่างกายเรากำลังขจัดไขมัน เรากำลังผอมลง เราน้ำหนักตัวเหมาะสมอยู่ที่ .... กิโลกรัม ท่องทั้งเช้า ทั้งสาย ทั้งเที่ยง ทั้งบ่าย ตอนไหนก็ตามที่นั่งว่าง ๆ รถติด หรือตอนก่อนนอน กำหนดจิตให้แน่วแน่ว่า

นี่แหล่ะคือเป้าหมายที่เราจะไปให้ถึง สร้างความเชื่อมั่นในตัวเองว่าเราทำได้ แล้วคุณก็จะทำได้ แต่หากใครก็ตามปล่อยจิตวอกแวก พออดอาหาร ออกกำลังกายไป 1 หรือ 2 สัปดาห์ แล้วน้ำหนักมันไม่ยอมกระเถิบลง คุณก็เริ่มท้อแท้ แล้วก็เริ่มคิดว่า ไม่มีทางสำเร็จแน่ชาตินี้ เมื่อเริ่มไม่เชื่อมั่นในตัวเอง สร้างประโยคเป็นลบในสมอง ร่างกายก็จะรับรู้ว่า คุณไม่ต้องการประสบความสำเร็จจริง ๆ สุดท้ายก็เลยไม่สามารถสลายไขมันออกไปจากตัวได้ เหมือนนักกีฬาที่กำลังจะลงสนามนะคะ หากนักกีฬาคนไหนที่คิดในใจว่า แข่งขันเที่ยวนี้ต้องพบกับมือเซียนระดับโลก แล้วเราเป็นมือวางไร้อันดับ จะไปสู้เขาได้อย่างไร ก็ไม่ต้องลงไปแข่งซะเลยดีกว่า เพราะแพ้กันตั้งแต่ในมุ้ง แต่ถ้าเราตั้งกำหนดจิตไว้ว่า เราจะเล่นให้ดีที่สุดอย่างยอดเยี่ยม เราจะต้องเอาชนะให้ได้ สร้างความเชื่อมั่นในตนเอง แล้วคุณก็จะทำได้จริง ๆ นั่นแหละค่ะ

แต่หากกำหนดจิตตัวเองไม่ไหว ใจไม่เข้มแข็งพอละก็ ลองปรึกษาจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสะกดจิตดูนะคะ มีคนไข้หลายรายที่ตัวอ้วนใหญ่ ไม่สามารถที่จะลดน้ำหนักได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะใช้สูตรอาหารโปรแกรมพิเศษขนาดไหน ออกกำลังกายหักโหมก็แล้ว ก็ยังทำไม่สำเร็จ เพราะจิตใต้สำนึกนั้นยังมีความเครียดความกังวล หรือความไม่เชื่อมั่นว่าจะทำได้ ทางที่ดีนอกเหนือจากพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการลดความอ้วน นักโถชนากร ผู้ฝึกหัดออกกำลังกายส่วนตัวแล้ว จิตแพทย์ยังเป็นบุคคลหนึ่งที่จะช่วยสะกดจิตสลายความเครียดในจิตใต้สำนึกให้กับคุณได้ หมอมีตัวอย่างคนไข้ที่น้ำหนักขึ้นแบบไม่หยุดยั้ง หาสาเหตุไม่เจอ ตรวจเช็คสุขภาพร่างกายทั้งหมด แล้วสุดท้ายก็พบว่า เป็นเพราะระดับคอร์ติซอล (Cortisol) ในขณะนอนหลับนั้น สูงผิดปกติ เนื่องจากมีความเครียดฝั่งลึกอยู่ในจิตใต้สำนึก ซึ่งตัวคนไข้เองก็ยังนึกไม่ออก ก็เลยต้องใช้วิธีสะกดจิต เพื่อให้จิตสำนึกเข้าไปควบคุมความเครียด เมื่อรู้ว่าเครียดจากอะไร หาทางผ่อนคลาย หรือลบล้างความเครียดนั้นออกไปได้ ร่างกายก็ไม่ต้องหลั่งคอร์ติซอล (Cortisol) ไม่ต้องสะสมไขมัน น้ำหนักตัวก็จะค่อย ๆ กระเถิบลดลงมาเองได้ไม่ยากเย็น ที่สำคัญหมอจะสอนให้สะกดจิต หรือกำหนดจิตตัวเอง สร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเองอีกครั้งหนึ่ง

บางคนอาจจะมีปมบางอย่าง อย่างงานวิจัยในสหัฐอเมริกาพบว่า ผู้หญิงบางคน ทั้งๆ ที่อยากจะผอม แต่ก็กินให้ตัวเองอ้วน เพราะครั้งหนึ่งเมื่อตอนวัยเด็กเคยถูกรุกรานทางเพศ จิตใต้สำนึกก็เลยบอกว่าอ้วนตุ้ยนุ้ยไว้ดีกว่า เพราะคนอ้วนนั้นขาดแรงดึงดูดทางเพศ เป็นเป้าหมายการถูกรุกรานน้อยกว่าผู้หญิงผอมบางสะโอดสะอง แม้ว่าจิตสำนึกจะอยากผอมสวยเหมือนคนอื่นเขา แต่จิตใต้สำนึกยังกลัวการผอมสวย กลัวการถูกรุกรานทางเพศ ก็เลยไม่ยอมหยุดกิน เมื่อได้พบจิตแพทย์ ช่วยไขปริศนา ปลดล็อคความกลัวความเครียดในจิตใต้สำนักได้ เขาก็สามารถกลับมามีน้ำหนักตัวปกติ ไม่ต้องแบกไขมันส่วนเกิน และไม่ต้องเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพที่ตามมาจากความอ้วนอีกต่อไป

เอาล่ะค่ะ คงไม่มีใครอยากจะไปคุยกับจิตแพทย์มากนัก เริ่มต้นด้วยการกำหนดจิต หรือสะกดจิตสะกดใจตนเองตั้งเป้าหมายให้มุ่งมั่น บอกตัวเองทุกเมื่อเชื่อวัน ถึงเป้าหมายน้ำหนักตัวที่คุณอยากจะเป็น คุณก็จะสามารถลดน้ำหนักขจัดไขมันได้ไม่ยาก ที่สำคัญอย่าเครียดกับการลดน้ำหนักนะคะ ค่อยเป็นค่อยไป เพราะเดี๋ยวยิ่งเครียดก็ยิ่งกิน ยิ่งกินก็ยิ่งเครียด ก็เลยไม่รู้ว่าเมื่อไรจะผอมสวยเสียที

บทความโดย
Pakpilai Thavisin, M.D.
S Medical Spa

สะกดจิตพิชิตไขมัน

สะกดจิตพิชิตไขมัน

สะกดจิตพิชิตไขมัน

สะกดจิตพิชิตไขมัน


 

                     

หน้า 1/1
1
[Go to top]


Copyright © www.YesSpaThailand.com 2010 All Rights Reserved.

พื้นที่โฆษณา -ลิงก์ผู้สนับสนุน (Advertisement)

มูลนิธิส่งเสริมพัฒนาเด็กและเยาวชน