นิรโทษกรรม-พารัฐบาลหลงทิศหลงทาง
จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ในทางการเมือง "การคิดพิจารณาทางเลือกต่างๆ เป็นสิ่งที่คนมีอำนาจรัฐอยู่ในมือต้องตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับตนเองและส่วนรวมควบคู่กันไป" กฎหมายนิรโทษกรรมที่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในหลายวาระ นอกจากเป็นแรงผลักดันของเสียงข้างมากในสภาแล้ว ยังเป็นผลมาจากการเลือกที่จะ “เดินหน้า” ไว้ว่าจะเต็มซอยหรือสุดซอย ย่อมต้องถือว่ารัฐบาลได้เลือกที่จะผลักดันกฎหมายดังกล่าว
.........................................................................................................
โฆษณา-ลิงก์ผู้สนับสนุน
.........................................................................................................
ในอดีตที่ผ่านมา เราเคยมีการนิรโทษกรรมที่ดูจะเป็นเรื่องให้ต้องถกเถียงและสร้างรอยปริแยกทางความคิดความรักสามัคคีในชาติ อย่างที่เห็นได้ชัดเจนสุด คือ กรณี “พระราชกำหนดนิรโทษกรรมหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ.2535” ความร้ายกาจและผู้คนจำนวนมากพากันตั้งข้อรังเกียจต่อกฎหมายนิรโทษกรรมในเวลานั้น คือ การอาศัยมติเวียนในเรื่องสำคัญขนาดนี้ เพราะแม้แต่การประชุมในองค์กรห้างร้านบริษัทต่างๆ หากเลี่ยงได้เขาจะไม่ใช้การเวียนขอมติความเห็น เพราะนอกจากไม่แน่ใจว่าลายมือที่เซ็นชื่อรับรองเรื่องต่างๆ เป็นลายมือเจ้าตัวจริงหรือใครปลอมตัวมาลงลายมือชื่อแทน จำได้ว่า ในขณะนั้นก็มีการพูดถึงเรื่อง “ความเชื่อถือได้” ของเอกสารมติคณะรัฐมนตรีที่ใช้เวียนเพื่อนิรโทษกรรมให้แก่ผู้เกี่ยวพันกับเหตุการณ์ความรุนแรง
มาถึงวันนี้ รัฐบาลเลือกจะเดินหมากบนกระดานการเมืองในภาวะวิกฤติรูปแบบเดียวกับกรณีที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เพราะอาจได้ประเมินสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมเรียบร้อยว่า แรงกดดันภายนอกน่าจะไม่สร้างปัญหาหนักใจอย่างที่หลายคนคาดคิด หรืออาจเป็นด้วยความเชื่อตามที่ “กุนซือ” หรือ “ลิ่วล้อ” บางคนให้คำแนะนำ ซึ่งถ้าเป็นกรณีหลัง ต้องจัดว่าเป็นเรื่อง “สุ่มเสี่ยง” อย่างยิ่ง เพราะหาก “ผู้นำ” อาศัยข้อมูลที่ปรึกษา หรือ ใครที่คิดว่าหวังดีมาให้คำชี้แนะ โดยไม่พิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบ เราเคยได้เห็นความเสียหายและสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งไม่เฉพาะการเมืองไทยแต่การเมืองรอบโลกรอบบ้านเราก็คงเคยเห็น ทั้งนี้ด้วยเหตุที่บรรดา “ลิ่วล้อ” ที่อ้างว่าเป็นผู้หวังดีหรือ “รู้ดี” ส่วนมากจะเป็นพวกสอดแทรกตัวเองเป็นคนใกล้ชิด ให้ได้รับความไว้วางใจ ด้วยหวังลาภยศสรรเสริญอยู่เบื้องหน้า แต่คนจะจริงใจเป็น “กัลยาณมิตร” ในยามทุกข์ยากอย่างแท้จริง ผมเชื่อว่า หาก “ผู้นำ” รู้เท่าทันเกมการเมืองก็คงเข้าใจดีว่า ในโลกแห่งความเป็นจริงอาจไม่มีผู้คนลักษณะดีแท้แน่นอนเยี่ยงนี้อยู่ในโลกใบนี้เลย
จึงไม่อยากให้รัฐบาลตั้งตนอยู่บนความ “ประมาท” คิดว่า การเดินหน้านิรโทษกรรมจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นหรือมองเป็นการอาศัยช่วงจังหวะเวลาที่หลายเรื่องถาโถมเข้าใส่รัฐบาลถึงได้ยอม “เสี่ยง” เดินเกมรุกสุดตัวแต่สุ่มเสี่ยงคราวนี้ มันอาจไม่จบตรง “ยุบสภาเลือกตั้งใหม่” เพราะหากเดินผิดพลาดพลั้ง “การเลือกตั้งอาจไม่มีและอาจเป็นช่องให้คนไม่หวังดีชิงความได้เปรียบ” หยิบโน่นนี่เป็น “ข้ออ้าง” ในการจัดการเบ็ดเสร็จ ซึ่งเราไม่ปรารถนาให้ใครกระทำการเยี่ยงนี้ แต่ “อุบัติเหตุทางการเมือง” หลายต่อหลายครั้งเป็นผลสืบเนื่องจากความไม่ใส่ใจ หรือ ความย่ามใจ มองข้ามเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม ผสมผสานกับ “ความหลงผิด ทั้งหลงในความเชื่อว่าอำนาจรัฐสามารถจัดการปัญหาได้ และหลงไปกับคำหวานหรือคำแนะนำผิดๆ ของคนใกล้ชิดที่แสดงตัวเป็นทั้งผู้รู้ ผู้หวังดี แต่ทั้งหมดเป็นเพื่อความก้าวหน้าในลาภยศตำแหน่งของผู้ให้คำแนะนำเป็นหลักใหญ่” ซึ่งหากมีใครคิดจะดำเนินการใดๆ ในทางมิชอบด้วยกฎหมาย เราไม่สนับสนุนและขอต่อต้านการดำเนินการเหล่านั้นอย่างที่สุด
แต่หากรัฐบาล “เบาใจ” ไม่ใคร่ครวญเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างรอบคอบ จะต้องถือเป็น “เรื่องน่าเสียดาย” ที่รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งนานๆ จะมีอำนาจได้ปกครองประเทศอย่างยาวนาน น่าจะอยู่ครบเทอมได้ อีกทั้งรัฐบาลกำลังจะผลักดันอะไรต่ออะไรได้มากมาย ต้องสะดุดขาตนเอง ไม่ต่างกับรัฐบาลพลเรือนหรือกระทั่งรัฐบาลทหารในอดีตหลายต่อหลายชุดที่ประวัติศาสตร์ก็มีให้เห็น แต่ไม่ค่อยได้เรียนรู้และนำมาปรับใช้ในการบริหารจัดการให้ถูกที่ถูกเวลา
นิรโทษกรรมพารัฐบาลหลงทิศหลงทาง : ต่อปากต่อคำ โดยดร.อมร วาณิชวิวัฒน์ a.wanichwiwatana@gmail.com/ twitter@DoctorAmorn
.........................................................................................................
โฆษณา-ลิงก์ผู้สนับสนุน
.........................................................................................................
|