จากผลการวิจัยของ Yoo (1998) ได้ระบุว่า ประสิทธิภาพการดำเนินงานด้วยระบบแฟรนไชส์ (Franchise) จะให้ผลการดำเนินงานสูงกว่าวิธีการดำเนินงานแบบเดิมที่ไม่มีระบบแฟรนไชส์ (Franchise) และ Kaufmann and Dant (1998) กล่าวว่า ระบบแฟรนไชส์ (Franchise) ได้แสดงความสัมพันธ์เชิงบวกต่อระดับการเจริญเติบโตทางธุรกิจ ซึ่งลักษณะที่พบจะเกิดขึ้นทั้งในธุรกิจบริการและธุรกิจอื่น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่มีรูปแบบการดำเนินงานง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน ไปจนถึงธุรกิจที่มีรูปแบบซับซ้อน
ปัจจุบันธุรกิจแฟรนไชส์ (Franchise) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั้งในยุโรปและอเมริกา รวมทั้งในประเทศไทยด้วย มีธุรกิจที่ดำเนินงานโดยวิธีขยายแฟรนไชส์ (Franchise) อยู่ในทุกธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีก เช่น ร้านวีมาร์ท เซเว่นอีเลเว่น ร้าน 108 shops หรือในธุรกิจอาหาร เช่น แมคโดนัลด์ พิทซ่าฮัท ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว หรือแม้แต่ธุรกิจบริการ เช่น ธุรกิจสปา บริการซัก อบ รีด บริการเสริมความงาม เป็นต้น
►ข้อขัดแย้งในระบบแฟรนไชส์ (Franchise)
ที่พึงพิจารณา
ระบบแฟรนไชส์ (Franchise) แม้ว่าจะเป็นวิธีการที่ดีในการสร้างความสำเร็จต่อการดำเนินธุรกิจ แต่เนื่องจากในการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะดำเนินการในรูปแบบใดก็ตาม ต่างมีเป้าหมายเพื่อผลกำไรสูงสุดของตนเอง ทั้งนี้ผู้รับแฟรนไชส์ (Franchisee) ล้วนต้องการสร้างผลกำไรสูงสุดจากการลงทุนซื้อแฟรนไชส์ (Franchise) พร้อมการคาดหวังต่อเครื่องหมายการค้าและการให้บริการของผู้ให้แฟรนไชส์ (Franchisor) ขณะเดียวกันผู้ให้แฟรนไชส์ (Franchisor) เอง ก็ต้องพยายามรักษาสัมพันธภาพที่ดีต่อผู้รับแฟรนไชส์ (Franchisee) โดยการปรับปรุงระบบการสนับสนุนการดำเนินงานและการให้บริการ การสร้างการยอมรับในชื่อเสียงของกิจการ โดยอาจใช้วิธีการประชาสัมพันธ์ และการร่วมพิจารณาข้อมูลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายของผู้รับแฟรนไชส์ (Franchisee) เพื่อความอยู่รอดของผู้รับแฟรนไชส์ (Franchisee)
จากผลการศึกษาเมื่อปี 2001 ของ Henry Kwong-yin Fock แห่งมหาวิทยาลัยฮ่องกง ได้พบว่า การที่ผู้ให้แฟรนไชส์ (Franchisor) ช่วยเหลือให้ผู้รับแฟรนไชส์ (Franchisee) สามารถขยายสาขาการดำเนินงานได้มากเพียงใด ย่อมส่งผลดีต่อผลกำไรที่จะเพิ่มสูงขึ้นตามจำนวนสาขาที่ขยายได้ ขณะเดียวกัน ผู้ให้แฟรนไชส์ (Franchisor) เอง ก็จะได้รับผลตอบแทนสูงขึ้นด้วย ซึ่งผู้ให้แฟรนไชส์ (Franchisor) มักต้องการขยายจำนวนผู้รับแฟรนไชส์ (Franchisee) ให้มากที่สุด ขณะที่ผู้รับแฟรนไชส์ (Franchisee) จะไม่ต้องการแข่งขันกับผู้รับแฟรนไชส์ (Franchisee) รายอื่นที่เปิดดำเนินการในพื้นที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งสิ่งนี้นับเป็นปัญหาใหญ่ในระบบแฟรนไชส์ (Franchise) และจากการศึกษาในประเทศออสเตรเลีย Hing (1996) ได้ศึกษาจำนวนผู้รับแฟรนไชส์ (Franchisee) ที่เป็นหน่วยธุรกิจต่าง ๆ จำนวน 127 แห่ง ได้ผลตรงกันว่า จำนวนของการเปิดช่องทางการกระจายสินค้า เป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อในร้านแฟรนไชส์ (Franchise) จากเครื่องหมายการค้าเดียวกัน ขณะที่ผลการวิจัยอื่น โดย Schneider (1998) ได้สำรวจข้อมูลจากผู้รับแฟรนไชส์ 174 รายในสหรัฐอเมริกา ก็ได้สรุปความเห็นของผู้รับแฟรนไชส์ (Franchisee) ไว้ว่า ผู้ให้แฟรนไชส์ (Franchisor) เป็นผู้ทำให้เกิดปัญหาจากการขยายช่องทางการจำหน่ายในย่านเดียวกันของผู้รับแฟรนไชส์ (Franchisee) รายใหม่ ซึ่งอยู่ใกล้กันเกินไป
►แนวทางแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเกี่ยวกับทำเลที่ตั้งของแฟรนไชส์ (Franchise) ใหม่ ๆ
จากปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าว การลดผลกระทบที่ตรงข้ามกัน จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องพิจารณาร่วมกัน โดยการสร้างความสมดุลในผลประโยชน์ระหว่างผู้ให้แฟรนไชส์ (Franchisor) กับผู้รับแฟรนไชส์ (Franchisee) ควบคู่กับการพัฒนาความสามารถในการดำเนินงานอื่นให้คงอยู่ของระบบแฟรนไชส์ (Franchise) ทั้งนี้วิธีการตัดสินใจขยายแฟรนไชส์ (Franchise) อาจพิจารณาได้ 3 แนวทาง คือ
- ผู้ให้แฟรนไชส์ (Franchisor) ควรเป็นผู้พิจารณาในการขยายเครือข่าย (Centralized planning Mode)
- ผู้ให้แฟรนไชส์ (Franchisor) เปิดโอกาสให้ผู้รับแฟรนไชส์ (Franchisee) แต่ละรายเลือกทำเลที่ตั้งร้านเองอย่างอิสระ (Decentralized planning Mode) โดยอยู่ภายใต้การดูแลและการยอมรับของผู้ให้แฟรนไชส์ (Franchisor)
- ผู้ให้แฟรนไชส์ (Franchisor) และผู้รับแฟรนไชส์ (Franchisee) ร่วมกันพิจารณาการขยายแฟรนไชส์ (Franchise) ใหม่
จากผลการวิจัยของ Henry Kwong-yin Fock พบว่า วิธีการที่ดีที่สุดที่ให้ประโยชน์สูงสุดในการเลือกทำเลที่ตั้งคือ วิธีกำหนดทำเลที่ตั้งโดยผู้รับแฟรนไชส์ (Franchisee) ภายใต้กลไกตลาดที่เปิดกว้าง ซึ่งลูกค้าจะเลือกใช้บริการจากร้านแฟรนไชส์ (Franchise) ใด ๆ ก็ได้ที่อยู่ใกล้ สะดวกและให้บริการที่ดี ซึ่งในบางครั้งหากผู้รับแฟรนไชส์ (Franchisee) ไม่มีประสบการณ์ในการพิจารณาเลือกทำเลที่ดี ผู้ให้แฟรนไชส์ (Franchisor) อาจมีทีมงานให้คำที่ปรึกษาในการเลือกทำเลที่เหมาะสมได้
►การร่วมมือกันทางด้านการตลาด
ความสำเร็จของทั้งสองฝ่าย นอกจากการเลือกทำเลที่ดีแล้ว ยังเกิดจากการร่วมมือกันในการส่งเสริมการขาย โดยการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขาย แม้ว่าจะมีผลการวิจัยในอดีตของ Schneider และคณะ ซึ่งระบุว่า ผู้รับแฟรนไชส์ (Franchisee) ไม่เชื่อในอำนาจของการเพิ่มการโฆษณาที่จะสามารถชดเชยผลกระทบในด้านตรงข้ามของการเปิดแฟรนไชส์ใหม่ (Franchise) ของผู้ให้แฟรนไชส์ (Franchisor) ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความต้องการทางการตลาด สามารถเพิ่มขึ้นได้ด้วยความพยายามทางการตลาดและการเพิ่มขึ้นของผู้รับแฟรนไชส์ (Franchisee) ใหม่ ซึ่งจะช่วยสร้างสีสันทางการตลาดเพิ่มขึ้น
แนวทางการแก้ไขปัญหาโดยใช้ความร่วมมือทางด้านการตลาด Kaufmann and Rangan (1990) เรียกวิธีการนี้ว่า Win–Win Solution กล่าวคือ ผู้ให้แฟรนไชส์ (Franchisor) และผู้รับแฟรนไชส์ (Franchisee) ต่างได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน โดยการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขาย โดยมุ่งเน้นไปยังการโฆษณา ประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการขาย เพื่อชดเชยและลดผลกระทบอันเกิดจากผลลัพธ์ในทางตรงกันข้ามของทั้งสองฝ่าย เมื่อผู้ให้แฟรนไชส์ (Franchisor) เพิ่มช่องทางการกระจายสินค้า โดยการแนะนำลูกค้าในแต่ละเขตการขาย ให้รู้จักสินค้ามากขึ้น ย่อมส่งผลต่อความสำเร็จสูงขึ้นสำหรับทั้งผู้ให้แฟรนไชส์ (Franchisor) และผู้รับแฟรนไชส์ (Franchisee)